ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 569-570
ตอนที่ 569 รังแก
“ท่านอ๋อง…” อนุรองทำทีจะพูดต่อ แต่ก็ถูกหลิงอ๋องกวาดสายตามองจนต้องชะงัก “ข้าถามคนอื่น ไม่ได้ถามเจ้าคนเดียว”
อวี้อาเหราส่งสายตาไปทางเจาเอ๋อร์และเมี่ยวอวี้
เจาเอ๋อร์พูดขึ้นมาก่อนว่า “ทูลท่านอ๋องเพคะ เมื่อครู่นี้นายน้อยสามเข้ามามอบของขวัญให้คุณหนู คุณหนูรองดีใจจึงรับเอาไว้ แต่จู่ๆ อนุรองกลับเข้ามา กล่าวว่าคุณหนูของพวกเรารังแกนายน้อย ทั้งยังบอกว่าคุณหนูใช้สถานะธิดาเอกรังแกคนอื่นด้วยเพคะ…”
“จริงเพคะท่านอ๋อง เมื่อครู่นี้พวกเราได้ยินอย่างชัดเจนเพคะ” เมี่ยวอวี้เอ่ยสำทับขึ้น
ยิ่งหลิงอ๋องได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ่งดุดันมากขึ้น จากนั้นก็เลิกคิ้ว แล้วมองไปทางอนุรอง
“เป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่”
“หม่อมฉัน…” ในยามนั้นอนุรองกลับพูดไม่ออก จากนั้นก็ส่งสายตาไปทางอวี้จื้อ แล้วรีบพูดขึ้นในทันทีว่า “เมื่อครู่นี้หม่อมฉันเห็นว่าสีหน้าของคุณหนูรองดูไม่สู้ดีจริงๆ เกรงว่าจื้อเอ๋อร์จะไปล่วงเกินคุณหนูรองเข้า ดังนั้นจึงร้องขอให้นางอภัย แต่หากท่านอ๋องไม่เชื่อหม่อมฉัน ก็ลองถามจื้อเอ๋อร์เองก็ได้เพคะ”
หลิงอ๋องเห็นด้วยกับคำพูดของนาง จึงส่งสายตาไปทางอวี้จื้อ “เมื่อครู่นี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ บอกมาตามตรง หากอาเหรารังแกเจ้า พ่อจะจัดการให้ แต่หากมีใครคนไหนพูดจาส่งเดช แน่นอนว่าจะต้องรับผิดชอบ”
ขณะที่พูด ก็ส่งสายตาไปทางอนุรอง
อวี้อาเหรามีท่าทีเฉยเมย สายตามองไปที่พวกเขา เมื่อได้ยินหลิงอ๋องกล่าวเช่นนี้ ก็คงเป็นเพราะเขาได้ตัดสินใจเอาไว้แล้ว่ว่าใครผิดใครถูก
อวี้จื้อมองท่าทีของอนุรองด้วยสายตาแปลกประหลาด จากนั้นก็โค้งคำนับให้กับหลิงอ๋องด้วยความนอบน้อม “เสด็จพ่อ เมื่อครู่นี้ลูกนำของขวัญมามอบให้พี่รองจริงๆ นางเห็นแล้วก็ดีใจมาก และยังชอบมากอีกด้วย ตอนที่ท่านแม่มาถึงคงจะมองไม่ชัดเจน จึงคิดว่าพี่รองรังแกลูก อีกอย่างคงเป็นเพราะพวกเราแม่ลูกห่างกันมานาน ท่านแม่คงเป็นห่วงลูกจนเกินไปหน่อย เพราะอย่างนั้นจึงได้…”
คำพูดของเขานั้นช่างฉลาดเฉลียว ไม่เพียงแต่ไม่โทษฝ่ายใด อีกทั้งยังช่วยอนุรองแก้ตัวเสร็จสรรพ ให้กลายเป็นมารดาที่เป็นห่วงลูกชายจนเกินไปเท่านั้น
อวี้อาเหรามองไปทางใบหน้าอ่อนเยาว์ของอวี้จื้อ และไม่รู้ว่าเขาตั้งใจจะพูดเช่นนี้หรือในใจของเขาคิดเช่นนั้นจริงๆ หากเข้าตั้งใจพูดเช่นนี้ นั่นก็แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้เป็นเด็กหนุ่มใสซื่อเหมือนดังเช่นที่เขาแสดงให้เห็นก่อนหน้านี้ แต่หากเขาคิดเช่นนี้จริงๆ ก็คงต้องบอกว่าเขานั้นช่างฉลาดเฉลียว ทำดีต่อคนอื่นทั้งหมด
แต่เมื่อเห็นท่าทีของเขาและสายตาที่สว่างไสวแล้ว สุดท้ายนางก็ยังมองไม่ออกอยู่ดี
ท่าทีใสซื่อบริสุทธิ์ของเขานั้นดูเหมือนว่าจะเป็นอุปนิสัยส่วนตัว แต่อวี้อาเหราก็สงสัยอยู่นั่นเอง ว่าเขานั้นไม่ได้ดูใส่ซื่อ ไม่ซับซ้อนอย่างที่เขาแสดงให้เห็น
ได้ยินอยู่เสมอว่าสัมผัสที่หกของผู้หญิงนั้นมักจะแม่นยำเสมอ หรือว่านางจะมีสิ่งนั้น?
หลังจากคิดพิจารณาอยู่นาน ก็มองไม่ออกถึงความผิดปกติตรงไหน จึงถอนสายตากลับมา
หลังจากที่นางถอนสายตากลับมา อวี้จื้อกลับส่งสายตาหา สายตานั้นเต็มไปด้วยความใส่ซื่อ
เมื่อหลิงอ๋องได้ยินอวี้จื้อกล่าวเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจนัก ว่าลูกชายคนเล็กของตัวเองไม่เหมือนแม่และพี่สาวของเขา ซึ่งเป็นนิสัยที่เขาชอบ สำหรับอวี้จื้อแล้ว เขาก็ยิ่งเชื่อมั่นในตัวลูกชายคนนี้มากขึ้น
ไม่ใช่ว่าเขานั้นเชื่อมั่นในตัวอวี้จื้อ แต่เพราะเข้าใจในตัวลูกสาวอย่างอวี้อาเหราที่ตั้งแต่ตกหน้าผาในครั้งนั้น ตัวนางก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ตัวนางยังฉลาดเฉลียวถึงเพียงนี้ คงไม่กล้าสร้างเรื่องอะไร จึงไม่สงสัยในคำพูดของอวี้จื้ออีก
หากทำเช่นนั้นแล้วก็มิเท่ากับโยนหินใส่เท้าตัวเองหรอกหรือ?
ตอนที่ 570 ห่างเหิน
หากต้องการที่จะเข้าใจคนผู้หนึ่งอย่างทะลุปรุโปร่ง ก็ไม่ควรมองข้ามจุดเล็กๆ เช่นนี้
และอวี้อาเหราเองก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้ความเช่นนั้นแน่
เมื่ออวี้จื่อเยียนได้ยินอวี้จื้อกล่าวเช่นนี้ก็โกรธเป็นอย่างมาก ไม่ง่ายเลยที่อนุรองจะหาโอกาสมาเล่นงานอวี้อาเหราได้ แต่กลับไม่คิดว่าเจ้าเด็กคนนี้จะทำให้นางเสียโอกาสไป ทั้งยังพูดช่วยอวี้อาเหราเสียอีก ดังนั้นนางจึงโกรธเคืองยิ่งนัก
เห็นได้ชัดว่านางนั้นก็ไม่ทราบถึงความคิดของหลิงอ๋องเลยแม้แต่น้อย เพราะอย่างนั้นถึงได้มีความคิดเช่นนี้
เพราะไม่ว่าอวี้จื้อจะพูดอะไร หลิงอ๋องก็ต้องนำคำพูดของเขามาพิจารณาแน่ เมื่อครู่นี้หากเขาช่วยพูดให้อนุรอง เขาคงต้องห่างเหินจากลูกชายคนนี้ บุตรอนุที่ใส่ร้ายธิดาเอก คงไม่อาจรั้งตำแหน่งใหญ่โตในจวนหลิงอ๋องได้แน่
แต่คำพูดของอวี้จื้อนั้นไม่ทำร้ายใคร ทำให้หลิงอ๋องชื่นชมไม่น้อย เขาได้ผ่านการทดสอบแล้ว
หลิงอ๋องไม่ใช่แม่ทัพธรรมดา หลังจากได้รับบาดเจ็บหนักกลับมาในครั้งนั้น ก็นิ่งเงียบอยู่ในราชสำนักมาตลอด หากเขาไม่มีความสามารถแม้แต่น้อย เขาก็คงเหมือนลูกพลับน้อยที่โดนบีบง่ายๆ กระมัง? หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ตอนนี้จวนหลิงอ๋องคงไม่อยู่รอดมาจนถึงตอนนี้
สำหรับเรื่องความสงบในเรือนหลังของจวนหลิงอ๋อง แม้ว่าน้อยครั้งที่เขาจะเข้ามาสอด แต่เขาเองก็รู้อยู่แก่ใจ หากแต่ปิดตาไว้เพียงครึ่งหนึ่ง ไม่ใช่ว่าเขานั้นไม่รักไม่ห่วงใยลูกสาวอย่างอวี้อาเหรา แต่ลูกสาวของเขานั้นโตแล้ว เขาไม่อาจกางปีกปกป้องนางได้ทั้งชีวิต ดังนั้นเขาจำต้องทำให้นางยืนหยัดด้วยตัวเอง
ก่อนหน้านี้ที่อนุรองและอวี้จื้อเยียนกระทำต่อนางต่างๆ นานา ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ ทว่าหากอวี้อาเหราไม่อันตรายถึงชีวิต เขาก็จะไม่สอดมือเข้าไปยุ่ง
เพราะโลกนี้ช่างโหดร้ายนัก หากตัวเองไม่รู้ว่าจะต่อกรโลกนี้อย่างไร ต่อไปก็จะถูกคัดออก เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพื่อให้นางได้เติบโตขึ้นมาให้ดีขึ้นกว่าเดิม แต่เพียงออกไปข้างนอกครั้งเดียว ก็ต้องเสี่ยงอันตรายจนแทบสิ้นชีวิต แต่เมื่อเห็นสภาพอวี้อาเหราอย่างที่เป็นอย่างทุกวันนี้ ก็ต้องชื่นชมนางเป็นอย่างมาก
ต่อไปหากเขาไม่อยู่แล้ว นางจะได้ดูแลตัวเองได้ นางจะได้ไม่ถูกผู้อื่นรังแก
ส่วนเรื่องสามีในอนาคตของนาง อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ยอมให้เป็นองค์รัชทายาทจวินฉางอวิ๋นแน่
แต่เรื่องเช่นนี้ล้วนเก็บอยู่ในใจ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจรู้ได้
อวี้อาเหราหันไปมองหลิงอ๋องที่กำลังมองมาที่นางด้วยสีหน้าสับสน ในใจของนางก็สั่นไหว มุมปากของนางแย้มออกเป็นรอยยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
อนุรองเห็นอวี้จื้อกล่าวเช่นนี้ก็รู้สึกโกรธเคือง แต่นางนั้นรักใคร่เอ็นดูลูกชายผู้นี้เสียเหลือเกิน น้ำตาของนางไหลรินออกมา แล้วรีบพูดว่า “จื้อเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว เสด็จพ่อของเจ้าก็อยู่ตรงนี้ เรื่องที่ไม่กล้าพูดก็ขอให้พูดออกมาให้หมด ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครรังแกเจ้าได้”
หลิงอ๋องได้ยินดังนั้นก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก สายตามองไปทางอนุรอง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
ใจของอนุรองสั่นไหว แต่เมื่อเห็นว่ามีอวี้จื้ออยู่ข้างกาย ทั้งในท้องยังมีลูกอีกคน นางก็ยืดตัวขึ้นอย่างมั่นใจ เอ่ยกับหลิงอ๋องด้วยน้ำเสียงแฝงด้วยความยโส “ท่านอ๋อง ที่หม่อมฉันพูดทั้งหมดก็เพื่อจื้อเอ๋อร์นะเพคะ เห็นว่าเขาโดนรังแกแต่ไม่กล้าที่จะพูดออกมา ในใจก็รู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก หากท่านอ๋องกริ้ว หม่อมฉันยิ่งต้องพูดออกมาเพคะ”
“เจ้า!” หลิงอ๋องตวาดด้วยความโกรธ
“เสด็จพ่ออย่าได้กริ้วไปเลย พี่รองไม่ได้รังแกลูกจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ” อวี้จื้อพยายามคลี่คลายสถานการณ์ จากนั้นก็หันไปอธิบายให้อนุรองฟัง “ท่านแม่ ท่านเชื่อลูกเถิด พี่รองไม่ได้รังแกลูกจริงๆ ทุกคนล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน เหตุใดจะต้องโกรธเคืองกันด้วย เสด็จพ่อทรงไม่พอพระทัยแล้ว หากเป็นเช่นนี้ ความสัมพันธ์ของพวกเราในภายภาคหน้าก็คงจะต้องเหินห่างกันไม่ใช่หรือขอรับ”