ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 579-580
ตอนที่ 579 อายุปูนนี้
“ดังนั้นจึงอยากมาดูว่าข้าเป็นอย่างไรบ้างหรือ?” อวี้อาเหราตัดบทเขา
“ไม่ใช่” จวินอู๋เหินกลับส่ายหน้า ทันใดนั้นก็หัวเราะ “แน่นอนว่าจะมาถามว่าปลาร้อนที่ฝ่าบาททรงเลี้ยงเอาไว้อร่อยหรือไม่ บอกตามตรงนะ ข้าเติบโตมาจนถึงเพียงนี้ก็ยังไม่เคยกินปลาร้อนในพระแท่นวายุจันทราเลยสักครั้ง หากไม่กลัวว่าเสด็จพ่อจะไล่ตีข้าอีก ก็อยากจะลองสักครั้ง”
“…” อวี้อาเหราพูดไม่ออก อุตส่าห์คิดว่าเขาจะเป็นห่วงนางบ้าง ไม่คิดเลยว่าเขาจะมาเพราะเรื่องของปลาเท่านั้น
เมื่อครู่นี้ใครกันที่อธิบายขึ้นมาเสียจริงจังเล่า?
โชคดีนักที่ไม่ได้พูดออกไป!
“เป็นเช่นไรกันแน่อาเหรา” จวินอู๋เหินเห็นนางปิดปากไม่พูด ก็ถามขึ้นมาอีกครั้งอย่างประหลาดใจ
อวี้อาเหราก้มหน้าลง พูดเสียงต่ำๆ ว่า “ไม่รู้ หากเจ้าอยากรู้จริงๆ ว่ามันมีรสชาติอย่างไร เช่นนั้นก็ลองไปชิมเองสิ”
“เจ้าตั้งใจจะทำให้ข้าเป็นทุกข์ใช่หรือไม่? หากเสด็จพ่อทราบว่าข้าแอบกินปลาร้อนในพระแท่นวายุจันทรา ข้าคงโดนหนักกว่าตอนหนีเที่ยวหอวั่นฮวา คงถูกตีจนตายเป็นแน่ ข้ายังคิดถึงชีวิตน้อยๆ ของตัวเองอยู่ ไม่อยากรีบตายนักหรอก ยังไม่ได้แต่งงานมีลูกเลยนะ” จวินอู๋เหินว่าพลางถลึงตามองนาง
โชคดีจริงๆ ที่ตอนนี้ไม่ได้ดื่มน้ำอยู่ มิเช่นนั้นนางคงพ่นน้ำออกมาอย่างไม่เกรงใจแน่
เขาที่ชอบมีความคิดแปลกประหลาดตลอดเวลาเช่นนี้ ยังจะคิดอยากแต่งงานมีลูกอีกหรือ?
หากแต่งงานมีลูกแล้วเขาจะหมดห่วงหรืออย่างไร?
คงจะเป็นเช่นนั้นสินะ…
มุมปากของอวี้อาเหราโค้งขึ้นอย่างขบขัน มองอีกฝ่ายไม่พูดไม่จา
ฟู่เส่าชิงเพิ่งจะกินเนื้อไปหนึ่งชิ้น ทันใดนั้นก็สำลักขึ้นมาในทันที พยายามทำให้คอโล่ง แล้วพยายามพูดขึ้นมาว่า “เจ้าคิดไปไกลนัก พวกเรายังเพิ่งอายุเท่านี้จะให้มาแต่งงานมีลูกได้อย่างไร เจ้ารีบไปคนเดียวเถิด ดูอย่างอวี้อาเหราสิ อายุปูนนี้แล้ว หากเป็นสตรีธรรมดาทั่วไปก็คงมีลูกมีเต้าไปแล้ว แต่นางยังไม่มีใครกล้าแต่งด้วย เจ้าจะรีบไปทำไมกัน”
คำพูดกึ่งด่าทอเช่นนี้ แม้แต่อวี้อาเหราก็ถูกลากเข้าไปเอี่ยวด้วย นางมองค้อนอย่างไม่ยินดีเท่าไรนัก
“เจ้าว่าใครแก่กัน?”
นางเพิ่งจะอายุสิบห้าสิบหกเท่านั้น ถือว่าอายุมากแล้วหรือ? หากเทียบกับปัจจุบันก็เท่ากับยี่สิบต้นๆ
แก่ไหม?
ไม่แก่เสียหน่อยมิใช่หรือ!
ยังเด็กถึงเพียงนี้ ในยุคปัจจุบันก็เป็นเพียงเด็กมัธยมปลายเท่านั้น หากเข้าเรียนช้าก็คงอยู่มัธยมต้น
แต่กลับบอกว่านางอายุปูนนี้ ควรมีลูกมีเต้าได้แล้ว?
หลังจากที่ฟู่เส่าชิงโดนถลึงตาจ้องมอง ก็กะพริบตาปริบๆ อย่างใสซื่อ “แม้เจ้าจะบอกว่าไม่แก่ แต่หากเทียบกับคนรอบตัว ก็ถือว่าแก่แล้ว…”
“หากข้าแก่ เช่นนั้นอวี้จื่อเยียนก็ไม่เป็นยายเลยหรืออย่างไร?” อวี้อาเหราถามกลับ
อวี้จื่อเยียนอายุมากกว่านางตั้งหนึ่งปีกว่าเชียวนะ
ดูสิว่าเขาจะว่าอย่างไร!
เมื่อฟู่เส่าชิงกำลังจะเอ่ยปากตอบโต้ ด้านนอกก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมา “ใครจะเป็นยายกันหรือ?”
หลิงอ๋องเดินนำคนมาจากด้านนอก แล้วมองพวกนางอย่างปละหลาดใจ
ด้านหลังมีอวี้จื่อเยียน อนุรองและอวี้จื้อเดินตามมาด้วย
อวี้อาเหราหยุดพูดในทันที และไม่พูดอะไรอีก
ไม่มีใครพูดอะไรอออกมา
ทุกคนล้วนมองไปยังประตู
หลิงอ๋องเห็นว่าทุกคนเอาแต่ปิดปากเงียบ จึงอดไม่ได้ที่จะนิ่งงัน “เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่พูดกันต่อเล่า หรือว่าเพราะเรามาทำลายบรรยากาศรื่นรมย์ของพวกเจ้าไปเสียหมด? เมื่อครู่นี้ออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อจื้อเอ๋อร์ จึงได้กลิ่นหอมๆ โชยออกมาจึงเข้ามาดู ที่แท้พวกเจ้าก็กำลังย่างเนื้อกินกันนี่เอง ช่างหอมยิ่งนัก จนทำเราหิวเลย”
ที่แท้ก็เดินตามมาเพราะกลิ่นหอมๆ นี่เอง
ตอนที่ 580 เป็นยาย
อวี้อาเหราคิดถึงที่ตัวเองพูดเมื่อครู่นี้ แล้วก็มองไปทางอวี้จื่อเยียนอีกรอบ ในใจรู้สึกกระดากเล็กน้อย
จวินอู๋เหินเห็นท่าทีของนางเป็นเช่นนั้น จึงลุกยืนขึ้นแล้วเดินเจ้าไปทางหลิงอ๋อง ขณะที่พูดขึ้นมาว่า “ที่แท้ท่านอ๋องก็ถูกกลิ่นหอมๆ ดึงดูดเหมือนข้าและองค์ชายเป่ยเจียงนี่เอง เมื่อครู่นี้ได้พูดคุยเรื่องแต่งงานกับอาเหรา องค์ชายเป่ยเจียงพูดว่านางอายุเท่านี้แล้วยังไม่แต่งงานอีก หญิงธรรมดานั้นแม้อายุเท่านี้ก็คงจะมีลูกมีเต้าไปหมดแล้ว จากนั้นก็พูดเล่นกันว่าหากนางอายุเท่านี้แล้วถือว่าแก่ ถ้าเช่นนั้นคุณหนูใหญ่ไม่เป็นยายเลยหรือ”
เป็นยายหรือ? เมื่อคำพูดนี้ออกจากปากของเขา สีหน้าของอวี้จื่อเยียนก็เปลี่ยนไปในทันที ถลึงตาจ้องมองอวี้อาเหราอย่างโกรธเคือง
กล้าทำลายชื่อเสียงของนางต่อหน้าท่านอ๋องน้อยและองค์ชายเป่ยเจียงเชียวรึ? ทั้งยังบอกว่านางแก่จนจะเป็นยายอีกอย่างนั้นหรือ?
สำหรับหญิงสาวนั้นชื่อเสียงเป็นเรื่องสำคัญ แต่อวี้อาเหรากลับพูดออกมาเช่นนี้…
นี่ก็เท่ากับหักหน้านางเลยมิใช่หรืออย่างไร? ถึงได้กล้าพูดเช่นนี้ออกมา
หลิงอ๋องจำต้องนิ่งงันไป ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรออกมาดี “คิดว่าพูดเรื่องอะไรกันอยู่เสียอีก ที่แท้ก็กำลังพูดเรื่องนี้อยู่นี่เอง มิน่าเล่าเมื่อเห็นเยียนเอ๋อร์แล้วถึงไม่พูดต่อ ทว่านี่ก็คงเป็นเรื่องเรื่องล้อเล่นเท่านั้น เยียนเอ๋อร์อย่าได้ถือเป็นจริงเป็นจังเลย”
“ล้อเล่นหรือเพคะ?” อวี้จื่อเยียนไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย ล้อเล่นอะไรกัน แต่เมื่อเห็นใบหน้ายิ้มๆ ของหลิงอ๋องแล้ว ก็คิดถึงครั้งก่อนที่ถูกเฆี่ยนตีด้วยแส้ จึงมีความเกรงกลัวต่อตัวเขา ไม่กล้าที่จะบอกถึงความไม่พอใจของตัวเองออกมา ทำได้แต่เพียงก้มหน้าลงอย่างอึดอัดใจเท่านั้น
อวี้อาเหราก้มหน้าลง ไม่ยอมเงยหน้าขึ้น ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ถูกจับได้ว่านินทาว่าร้ายผู้อื่น ความรู้สึกเช่นนี้ช่างยากจะยอมรับนัก…
อวี้จื้อได้ยินดังนั้น ทันใดนั้นก็ยิ้มขึ้นมา “พี่รองนี่ช่างตลกยิ่งนัก ในจวนนี้คาดว่าคงไม่มีใครกล้าที่จะล้อเล่นเช่นนี้เป็นแน่”
อวี้จื่อเยียนกลอกตาใส่เขาในทันที น้องชายของนางคนนี้ไม่เข้าใจหรือว่าโง่กันแน่?
ยังจะเออออไปกับคนอื่นอีก
เมื่ออนุรองเห็นดังนั้น ก็พยายามคลี่คลายสถานการณ์ “เมื่อครู่นี้เป็นเพียงการล้อเล่นเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องจริงจังหรอก”
เมื่อพูดจบ ก็หันไปมองอวี้จื่อเยียนราวกับมีเรื่องจะพูดด้วย แล้วมองนางด้วยสายตาเชื่อมั่น
หลังจากเรื่องทุกอย่างคลี่คลายแล้ว หลิงอ๋องก็ก้าวเดินตามกลิ่นหอมมา “พวกเจ้ากำลังย่างอะไรอยู่หรือ ถึงได้มีกลิ่นหอมถึงเพียงนี้ เมื่อครู่นี้พวกเจ้าบอกว่าได้กลิ่นหอมจึงเดินตามมา เรายังคิดว่าพวกเจ้าถูกเชิญมาตั้งแต่เช้าแล้วเสียอีก”
เชิญมาอย่างนั้นหรือ? อวี้อาเหราจะใจดีถึงเพียงนั้นได้อย่างไร หากนางไม่ขี้โกงก็คงไม่เลวนักหรอก
หลิงอ๋องคงไม่ทราบว่าอาหารมื้อนี้นั้นต้องจ่ายเงินไปถึงห้าสิบตำลึงเลยทีเดียว จวินอู๋เหินและฟู่เส่าชิงบ่นอยู่ในใจ
อวี้อาเหราแสดงท่าทีว่าไม่ยอมให้พวกเขาทั้งสองพูดจาส่งเดชต่อหน้าหลิงอ๋อง หากทราบว่านางลอบเก็บเงินพวกเขาเพื่ออาหารมื้อนี้ แน่นอนว่านางต้องถูกดุยกใหญ่เป็นแน่ สำหรับจวินอู๋เหินอละฟู่เส้าชิงแล้ว แม้จะโกงพวกเขามาได้ก็เสียเปล่า แม้ว่าจะไม่ใช่นาง เงินของเขาก็คงเข้ากระเป๋าคนอื่นแน่ สู้เอาเงินมาใช้ให้เป็นประโยชน์ดีกว่า
อย่างน้อยก็จ่ายเพื่อเนื้อย่างนี้อย่างไรเล่า?
นางชอบคิดว่าฉู่ป๋ายขี้โกง แต่นางเองก็ขี้โกงเช่นเดียวกัน
แต่เมื่อเทียบกับคนผู้นั้น ก็ยังถือว่าห่างชั้นอีกไกลนัก
ฟู่เส่าชิงหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น
จวินอู๋เหินเองก็ไม่ได้พูดอะไร เรื่องระหว่างพวกเขานั้น คงต้องไปจัดการกันตามลำพัง คงไม่ต้องให้ผู้ใหญ่เข้ามาช่วยจัดการให้
และเพราะเป็นเช่นนี้ ดังนั้นอวี้อาเหราจึงชอบคบหากับพวกเขากระมัง เมื่อเทียบกับพวกหน้าไหว้หลังหลอกในเมืองเฟิ่งเฉิงแล้ว ก็ยังถือว่าดีกว่ามาก
เมื่อคิดเช่นนี้ นางก็ส่งยิ้มให้หลิงอ๋อง “เสด็จพ่อ มีเนื้อที่ย่างสุกพอดี ลองชิมดูหน่อยเถิดเพคะ”