ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 619 ปกป้องครอบครัวป้องกันแคว้น / ตอนที่ 620 จ้องตา
ตอนที่ 619 ปกป้องครอบครัวป้องกันแคว้น
ปกป้องครอบครัวป้องกันแคว้น นี่เป็นสิ่งที่อยู่ในใจของเขา
มีคนบางจำพวกที่สามารถทำตัวให้สอดคล้องกับโลกที่วุ่นวาย ทว่าก็มีคนบางจำพวกที่ทำอย่างไรก็ไม่เข้าพวก
คนบางจำพวกก็จำเป็นที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่แสนวุ่นวาย โดยเฉพาะหลิงอ๋อง และยิ่งไปกว่านั้นก็คือตัวนางเอง
แต่ไหนแต่ไรมาอวี้อาเหรานั้นเป็นคนจำพวกที่ไม่หาเรื่องใครก็ตามที่ไม่หาเรื่องนาง แต่หากใครกล้าที่จะรังแกนาง ก็อย่าได้โทษว่านางไร้เมตตา ตัวนางที่อยู่ในโลกใบนี้ และตอนนี้นางมีฐานะเป็นธิดาเอกแห่งจวนหลิงอ๋อง จะต้องมีสายตาของผู้คนมากมายที่กำลังจับจ้องมาที่นาง หากนางใจไม่กล้าพอก็คงไม่ดีกระมัง?
หากนางยังทำตัวเหมือนเจ้าของร่างเดิมอยู่อีก ตอนนี้นางคงตายไปเป็นร้อยเป็นพันรอบแล้วกระมัง
เมื่อเวลาผ่านไป จนใกล้ที่จะถึงเวลาที่งานเลี้ยงเริ่ม อวี้จื้อจึงค่อยโผล่หน้ากลับมา
ทันทีที่กลับมานั้น ใบหน้าอ่อนวัยของเขาก็ดูอิดโรยนัก ยังดีที่เขายังกลับไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้านก่อนที่จะมา เสื้อผ้าของเขานั้นดูไม่สมตัว เมื่อเขาสวมแล้วดูหลวมโพรก แต่ทั่วทั้งร่างกลับส่องประกายเจิดจ้า ไม่มีท่าทีของคุณชายขี้โรคอ่อนแอในเมืองเฟิ่งเฉิงคนอื่นๆ เลย กลับแสดงให้เห็นถึงความองอาจยิ่งนัก
ทั้งๆ ที่ยังอายุยังน้อย ทว่ากลับมีท่าทีหล่อเหลาองอาจ แต่เมื่อมองไปที่ใบหน้าและท่าทีของเขา ต่อไปเขาคงจะเติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มรูปงามเป็นแน่ ทว่าเพียงตอนนี้ยังไม่เติบโตเต็มที่เท่านั้นเอง
อวี้จื่อเยียนเห็นเขากลับมาแล้วก็ยิ้มขึ้นอย่างยินดีเป็นอย่างยิ่ง “เสด็จพ่อ น้องสามกลับมาแล้วเพคะ”
“ลูกถวายพระพรเสด็จพ่อ” อวี้จื้อโค้งคำนับหลิงอ๋องด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
หลิงอ๋องรู้สึกยินดีเป็นที่สุด รีบกวักมือเรียกเขาในทันที “รีบเข้ามาเถิด เตรียมน้ำร้อนให้นายน้อยของเจ้าด้วย”
ทันทีที่ออกคำสั่ง สาวใช้ก็ยกน้ำอุ่นเข้ามาในทันที อวี้จื้อจุ่มผ้าลงไปในน้ำร้อนแล้วเช็ดหน้าเช็ดตา แล้วจึงวางลง มองไปทางอวี้อาเหรา “พี่รองก็กลับมาแล้ว คารวะพี่รองขอรับ”
“ไม่ต้องมากพิธี” อวี้อาเหรายิ้มอย่างอ่อนโยน ไม่ว่าจะพูดอย่างไร แม้ว่าน้องชายคนนี้จะเกิดจากอนุรอง แต่เขาก็เป็นคนไม่มีพิษมีภัย และไม่เคยแสดงท่าทีก้าวร้าวกับนางเลย นางก็ไม่ควรที่จะแสดงสีหน้าเย็นชา อวี้จื้อที่เป็นเช่นนี้ ก็ไม่เหมือนกับที่นางจินตนาการไว้เมื่อตอนแรกเลยแม้แต่น้อย
อวี้จื่อเยียนกำผ้าในมือแน่น มองไปทางอวี้จื้อและอวี้อาเหราที่เข้ากันได้เป็นอย่างดีด้วยความไม่พอใจ
“จื้อเอ๋อร์ มานี่เร็ว เจ้ารู้จักนางหรือไม่”
อนุรองกวักมือเรียกอวี้จื้อ ในใจของนางเองก็ไม่ค่อยพอใจเช่นกัน แต่ก็ยังปลอบใจตัวเองอยู่ หากเป็นเช่นนั้นนางคงทำให้บ้านแตกแน่ เมื่อเทียบกับท่าทีไม่สนใจสถานการณ์รอบๆ กายของอวี้จื่อเยียน ซึ่งอย่างนั้นจะยิ่งทำให้หลิงอ๋องไม่พอใจเท่าไหร่นัก ตอนนี้พวกนางต้องการหลักยึดเพื่อให้ยืนได้อย่างมั่นคง เพราะฉะนั้นทุกเรื่องจึงต้องทำตามใจหลิงอ๋องทั้งนั้น
“รู้จักขอรับ” อวี้จื้อมองไปทางฉู่เกอ สายตาชะงักไปเล็กน้อย ทว่ากลับมองไม่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก จากนั้นก็หันไปมองอนุรองพร้อมทั้งพยักหน้า “นางก็คือท่านหญิงแห่งจวนเซิ่นอ๋องมิใช่หรือขอรับ”
“ใช่แล้ว เคยพบหน้ากันมาก่อนหรือ?” อนุรองถามอย่างแปลกใจ
“เคยพบขอรับ” อวี้จื้อพยักหน้า
เมื่อเห็นสายตาสงสัยของอนุรองเข้า ฉู่เกอก็อธิบายต่อ “ก่อนหน้านี้ ยามที่อยู่ที่ค่ายทหารแห่งภูเขาซีซาน นายน้อยสามเคยช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ดังนั้นข้าจึงสำนึกในบุญคุณเขายิ่งนัก”
อวี้อาเหราได้ยินฉู่เกอพูดเช่นนี้ ก็นึกถึงคำพูดที่นางเคยบอกเอาไว้
ตอนนั้นฉู่เกอเกือบจะเข้าใจเขาผิดไป จึงทำให้เกิดเรื่องราวมากมายขึ้น
“ไม่คิดว่าจะมีวาสนาเช่นนี้ด้วย” อนุรองตื่นตะลึงปนยินดี “ท่านอ๋อง ท่านว่าเป็นวาสนาหรือไม่ นึกไม่ถึงว่าจื้อเอ๋อร์ของพวกเราก็เคยช่วยชีวิตท่านหญิง”
“จริงด้วย” หลิงอ๋องเองก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้ “ไม่คิดว่าพวกเจ้าจะมีวาสนาต่อกันเช่นนี้”
อวี้จื้อกล่าวออกมาเรียบๆ “เป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น มิใช่ช่วยชีวิตอันใดเลย”
ตอนที่ 620 จ้องตา
อนุรองปรายตามองอวี้จื้อด้วยความไม่พอใจ รีบพูดขึ้นมาว่า “บุญคุณที่ช่วยชีวิต ไหนเลยจะบอกว่าเป็นเพียงเรื่องบังเอิญกัน หากไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ตอนนี้ท่านหญิงก็คงจะ…”
คำพูดที่เหลือนั้นนางไม่กล้าที่จะพูดออกไป แต่ทุกคนล้วนทราบอยู่แก่ใจ
บุญคุณที่ช่วยชีวิตนั้นยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใด ไหนเลยจะละเลยได้
ฉู่เกอพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ก่อนหน้านี้ท่านพี่ของข้าก็เคยพูดเอาไว้ โชคดีที่มีนายน้อยสามช่วยชีวิตเอาไว้ ดังนั้นวันนี้ข้าจึงมาที่จวนหลิงอ๋องเพื่อตอบแทนคบุญคุณนายน้อยสามโดยเฉพาะ”
“ท่านหญิงกล่าวเกินไปแล้ว การช่วยคนเป็นเรื่องที่สมควรทำ ไหนเลยจะต้องการของตอบแทน” อนุรองรีบเปลี่ยนเสียง เมื่อครู่นี้ใครกันที่เอ่ยย้ำเรื่องบุญคุณที่ช่วยชีวิต ตอนนี้กลับเปลี่ยนท่าทีเสียนี่ ใครเห็นก็ต้องรู้สึกขบขันเป็นอย่างยิ่ง
อวี้จื้อมองไปรอบๆ “ไม่ทราบว่าเซิ่นซื่อจื่อก็มาด้วยหรือไม่ เหตุใดถึงไม่พบเลยเล่า”
“เขาไปตรวจอาการไข้ของฮูหยินแห่งจวนราชเลขากรมกลาโหม คงจะมาถึงช้าสักหน่อย” อวี้อาเหราอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ในสายตาของนาง ที่จู่ๆ ฉู่ป๋ายก็เดินทางไปกับอวิ๋นเซิ่นกะทันหันเช่นนี้ คงจะมีสองเหตุผล อย่างแรกก็คือเป็นเพราะความสัมพันธ์ที่มีต่ออวิ๋นเซิ่น อย่างที่สองเป็นเพราะวันนี้เขาเห็นนางอยู่กับหนิงจื่อเย่ จึงรู้สึกว่านางไม่ซื่อสัตย์และพูดเท็จ ดังนั้นในใจลึกๆ ย่อมไม่พอใจแน่
หลังจากชะงักไปนาน ด้านนอกก็มีเสียงรายงานเข้ามาว่า “ท่านอ๋อง เซิ่นซื่อจื่อมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เชิญเข้ามาได้” หลิงอ๋องก็รีบยืนขึ้นด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ผ่านไปไม่นาน ฉู่ป๋ายก็ถูกต้อนรับให้เข้ามาในงาน เขาดูรีบร้อนเล็กน้อย บนหน้าผากมีเหงื่อเกาะพราว ซึ่งเขาไม่สนใจที่จะเช็ดมันออก แล้วทำความเคารพหลิงอ๋อง
หลิงอ๋องให้เขายืนขึ้น จากนั้นก็แนะนำอวี้จื้อที่ยืนอยู่ด้านข้าง “นี่คือบุตรชายคนเล็กที่เพิ่งมาจากค่ายทหารซีซาน อวี้จื้อ ทำความเคารพเซิ่นซื่อจื่อเสียสิ”
“คารวะเซิ่นซื่อจื่อ” อวี้จื้อชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็รีบค้อมตัวคารวะในทันที
ฉู่ป๋ายมองมายังเขา อวี้จื้อมองสบสายตาของเขา สายตาของทั้งสองปะทะกันกลางอากาศ ราวกับกำลังแลกหมัดกันอย่างไรอย่างนั้น
ผ่านไปสักครู่ ด้วยความที่ทั้งคู่ประสานสายตากันนานเสียจนทำให้ประหลาดใจ ทั้งสองก็ยอมผ่อนคลายท่าที ฉู่ป๋ายผงกศีรษะเล็กน้อย “ไม่ต้องมากพิธี ต้องขอบคุณนายน้อยที่ช่วยชีวิตเกอเอ๋อร์เอาไว้”
“เคยได้ยินมาว่าเซิ่นซื่อจื่อช่วยชีวิตพี่รองเอาไว้ ขอบพระทัยในบุญคุณของเซิ่นซื่อจื่อด้วยขอรับ” อวี้จื้อเปลี่ยนไปพูดเรื่องของอวี้อาเหรา
ทุกคนต่างจ้องมองคนทั้งคู่ด้วยความสงสัย
เหตุใดจู่ๆ ถึงพูดถึงอวี้อาเหราขึ้นมาได้เล่า?
อวี้อาเหราเองก็ยังรู้สึกสงสัย พวกเขาสนทนากัน แล้วเหตุใดต้องลากนางกับฉู่เกอเข้าไปเกี่ยวด้วย
นี่ก็ไม่ค่อยเข้าใจยิ่งนัก
อวี้จื้อคนนี้มักทำให้นางมองเขาไม่ออกอยู่เสมอ ดูแล้วคงไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายเลย แต่เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าตรงไหนกันแน่ที่ทำให้เขาดูเป็นคนที่ยากจะจัดการได้ลง หากพูดด้วยเหตุผลที่ซับซ้อนก็คือ ดูแล้วเหมือนว่าเขาจะไม่มีพิษมีภัยตรงไหน ทว่าที่ทำให้สงสัยมากที่สุด ก็คือเพราะเหตุใดฉู่ป๋ายจึงแสดงท่าทีต่อเขาเหมือนคนอื่น
ยังดีที่อวี้จื้อไม่ใช่ผู้หญิง มิเช่นนั้น นางคงคิดไปเสียไกลแล้ว
ฉู่ป๋ายไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
อวี้จื้อเองก็พลอยเงียบไปด้วย
เมื่อทั้งสองพูดจบก็พากันเงียบลงไม่พูดไม่จา
หรือว่าฉู่ป๋ายกลัวว่าจะถูกแย่งฉู่เกอไป? ดังนั้นจึงเปลี่ยนท่าทีเช่นนี้?
จากที่นางเห็น ฉู่ป๋ายไม่ได้เป็นคนเช่นนี้นี่
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ยามที่คนทั้งคู่สบตากันเมื่อครู่ก็เหมือนไม่ใช่การพบกันครั้งแรก
หรือว่าจะเป็นอย่างที่นางเดาเอาไว้จริงๆ พวกเขาไม่ได้เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก
ความจริงจะเป็นเช่นไร นางก็ไม่อาจรู้ได้
หลิงอ๋องเองก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ จึงพยายามที่จะหัวเราะเพื่อทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดเมื่อครู่นี้ “วันนี้บังเอิญที่เซิ่นซื่อจื่อเสด็จมาพอดี ไม่ง่ายเลยที่จื้อเอ๋อร์จะเดินทางกลับมาจากค่ายทหารซีซาน เราเองยินดีเป็นอย่างยิ่ง ขอให้เซิ่นซื่อจื่อและหนูเกอเอ๋อร์อยู่ร่วมทานข้าวด้วยกันเถิด”