ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 633 ได้ยินชัดแล้ว / ตอนที่ 634 ถอนพิษ
ตอนที่ 633 ได้ยินชัดแล้ว
รถม้าห้อตะบึงไปจนถึงจวนหลิงอ๋อง
ยามที่อวี้อาเหรากำลังจะลงจากรถม้า นางก็มองไปทางฉู่ป๋าย “เจ้าจะไปกินข้าวหรือไม่”
“ไม่ต้องหรอก ข้าไม่อยากเห็นหน้าน้องชายเจ้าเท่าไหร่” ฉู่ป๋ายหันหน้าหนี
หากไม่ใช่ว่าอยู่ที่หน้าประตู หากไม่ใช่ว่าตัวต้นเหตุอยู่ตรงหน้า นางจะต้องหัวเราะเสียงดังเป็นแน่ ช่างน่าขันยิ่งนัก ผ่านไปนานแล้วก็ยังจำเรื่องที่อวี้จื้อดูดพิษออกจากนิ้วให้นาง ใจของเขาก็เล็กเสียยิ่งกว่าเม็ดถั่วเขียวเสียอีก
เมื่อเขาพูดออกมาเช่นนี้ อวี้อาเหราก็ไม่อยากจะใส่ใจในตัวเขาอีก เพื่อไม่ให้เขาพูดอะไรส่งเดชต่อหน้าหลิงอ๋อง
ขณะกำลังจะก้าวเท้าเพื่อลงจากรถ ฉู่ป๋ายก็ร้องเรียกนางเอาไว้ นางจึงจำต้องหยุดนิ่ง แล้วหันกลับไปมองเขาด้วยสายตาสงสัย
“พรุ่งนี้ข้าจะให้หานสือมารับเจ้าไปจวนเซิ่นอ๋อง” ฉู่ป๋ายกล่าว
“หา แต่ว่าพรุ่งนี้ไทเฮา…” อวี้อาเหรากำลังจะปฏิเสธ เขาก็พูดตัดบทขึ้นว่า “ไทเฮาไม่ชอบอากาศหนาวเย็นมาแต่ไหนแต่ไร วันนี้หิมะตกหนักถึงเพียงนี้ การจราจรก็คงไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ คงจะไม่ให้เจ้าเข้าวังหรอก”
“อ้อ” อวี้อาเหราฟังจนเข้าใจ แล้วแอบยินดีอยู่ในใจ ในที่สุดก็ไม่ต้องไปร่ำเรียนศิลปะสตรีบ้าๆ นั่นแล้ว
ในยามที่นางกำลังไร้ซึ่งการป้องกันตัว ฉู่ป๋ายก็โน้มกายเข้ามาหา แล้วประทับจูบแผ่วเบาราวกับสายลมที่ริมฝีปากของนาง แม้ว่าแทบจะไม่ได้แตะริมฝีปาก แต่ก็ทำให้อวี้อาเหราร้อนไปทั้งใบหน้า ที่หน้าประตูยังมีองครักษ์ยืนอยู่ และจวนหลิงอ๋องยังตั้งอยู่ในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน โชคดีที่ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว และยังมีหิมะตกใหญ่ รอบด้านจึงไร้ซึ่งผู้คน
มิเช่นนั้นนางคงต้องหมุดแผ่นดินหนีแน่
นี่ก็น่าอายยิ่งนักมิใช่หรือ?
ไม่ต้องมองไปด้านหลัง นางก็สามารถสัมผัสได้ถึงสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อกำลังมองอยู่
องครักษ์กำลังมองพวกเขาทั้งสอง ที่จู่ๆ พวกเขาก็จูบกันอย่างเหนือความคาดหมาย
“เจ้า…” อวี้อาเหราหน้าแดงเหมือนลูกแอปเปิ้ล นางก้มหน้าลง บอกแล้วว่าอย่าทำเรื่องเช่นนี้อย่างไรเล่า?
ชายผู้นี้คงไม่ได้ถือเอาคำพูดของนางเป็นจริงเป็นจังเลยสินะ!
ฉู่ป๋ายกุมมือเล็กของนาง พยายามที่จะกดดันความโกรธของนางลงไป แล้วหันไปพูดกับเหล่าองครักษ์หน้าประตู “เมื่อครู่นี้พวกเจ้าเห็นอะไรหรือไม่”
“เซิ่น…เซิ่นซื่อจื่อ” องครักษ์สองสามคนรู้แล้วว่าตัวเองกลายเป็นเป้าสายตา ก็รีบกลืนน้ำลายลงคออย่างรวดเร็ว “ข้าน้อยไม่ได้ยินอะไรเลย ไม่เห็นเลย…”
“หากเรื่องนี้แพร่ออกไป พวกเจ้าต้องรับผิดชอบ ได้ยินชัดหรือไม่”
“ได้ยินแล้วขอรับ!”
ไหนเลยพวกองครักษ์เหล่านั้นจะกล้าพูดอะไรได้อีก และไหนเลยจะไม่กล้าตอบรับ ทำเช่นนั้นก็ไม่เท่ากับว่ารนหาที่ตายหรอกหรือ?
ฉู่ป๋ายยกยิ้มอย่างพอใจ สายตามองมาที่ใบหน้าบิดเบี้ยวของอวี้อาเหรา “พวกเขาไม่กล้าพูดอะไรออกมาแล้ว กลับที่พักเถิด พรุ่งนี้ข้าจะให้หานสือมารับ”
“มารับข้าไปทำไมกัน?” อวี้อเหราไม่ได้อยากไปที่จวนเซิ่นอ๋อง นางยอมที่จะนอนอยู่ที่ห้องของตัวเองเสียยังดีกว่า หลายวันมานี้นางถูกไทเฮาทรมานเสียจนพ่ายผอม และไม่เคยได้นอนหลับตื่นสายเลย เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร และไทเฮาก็ไม่เคยบอกเลยว่าไม่ต้องเรียนแล้ว คิดว่าคงจะรอให้นางและจวินฉางอวิ๋นแต่งงานกันเสียก่อนถึงจะวางใจ
ทว่าฉู่ป๋ายกลับเอาแต่หัวเราะ ไม่ตอบคำถาม เพียงแต่ให้หานสือควบม้าออกไปเท่านั้น
อวี้อาเหราทำได้แต่เพียงมองไปทางเงาของรถม้าที่จากไป จากนั้นก็เข้าไปในจวน นางสัมผัสได้วถึงสายตาขององครักษ์พวกนั้นที่กำลังมองมา เช่นนั้นก็ถลึงตาจ้องมองทันที “พวกเจ้ามองอะไรกัน?”
“ข้าน้อยไม่เห็นอะไรเลยขอรับ” เมื่อถูกจ้องมอง ก็ตกใจเสียจนต้องก้มหน้าหนี
อวี้อาเหราก้าวยาวๆ เข้าไปข้างใน ดีที่คำพูดของฉู่ป๋ายนั้นมีประโยชน์อยู่บ้าง แม้จะตีพวกเขาจนตายก็คงไม่เอาเรื่องของนางออกไปพูดแน่ นอกเสียงจากว่าจะไม่ต้องการชีวิตของตัวเองแล้ว เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว นางก็นึกโกรธเคืองฉู่ป๋ายขึ้นมาอีกครั้ง
ตอนที่ 634 ถอนพิษ
เขาที่กล้าจูบนางต่อหน้าสายตาของผู้อื่น ทั้งยังทำมันที่หน้าประตูของจวนหลิงอ๋องอีกด้วย
หากพวกอนุรองรู้เรื่องนี้เข้า ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง และหลิงอ๋องที่เป็นคนทำอะไรต้องถูกทำนองคลองธรรม แน่นอนว่าต้องผิดหวังในตัวนางมาก แล้วนางจะปล่อยให้พวกอนุรองสมใจได้อย่างไรกัน?
น่าชื่นชมนิสัยของนางยิ่งนัก ที่เมื่อครู่นี้ไม่ได้ตบหน้าฉู่ป๋ายไปเสียฉาดหนึ่ง
ถือว่านางอดทนเอาไว้ได้อย่างมากแล้ว…
เมื่อเดินมาได้สองสามก้าว เจาเอ๋อร์และเมี่ยวอวี้ก็รีบโผล่หน้าเข้ามามอง
เมื่อเห็นว่านางมาแล้ว ก็ทำท่าเหมือนเห็นความหวังสุดท้ายขึ้นมา
“คุณหนู ในที่สุดท่านก็กลับมาเสียทีเจ้าค่ะ หากว่าท่านยังไม่กลับมาอีก ในจวนคงได้วุ่นวายยกใหญ่แน่ ท่านอ๋องได้ยินว่าท่านถูกเซิ่นซื่อจื่อพาตัวออกไป เช่นนั้นก็กังวลขึ้นมามาก สั่งให้คนออกไปตามตัว จริงสิเจ้าคะ เหตุใดเสื้อผ้าของคุณหนูถึงได้…”
ยามที่เจาเอ๋อร์กำลังพูดนั้น นางก็สังเกตเห็นเสื้อคลุมกันลมสีแดงเข้า
“เซิ่นซื่อจื่อมอบให้น่ะ แต่อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลย ไปพบเสด็จพ่อก่อนเถิด ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง” อวี้อาเหราข้ามเรื่องเสื้อคลุมกันลม แล้วถามถึงเรื่องสำคัญ
เจาเอ๋อร์ว่าอย่างไม่พอใจ “เมื่ออนุรอง คุณหนูใหญ่และอนุสามได้ยินเรื่องนี้เข้า ก็พูดจาว่าร้ายคุณหนูต่อหน้าท่านอ๋อง โชคดีที่นายน้อยสามและอนุสี่ช่วยพูดให้ บอกว่าไม่ได้ถูกเซิ่นซื่อจื่อลากตัวไปเสียหน่อย แต่เพราะมีเรื่องด่วนจึงพากันออกไป คุณหนูอย่าได้พูดผิดไปจากนี้เชียวนะเจ้าคะ”
“ข้ารู้แล้ว” อวี้อาเรหาพยักหน้า แล้วหันไปมองเมี่ยวอวี้ “เจ้ารีบไปเอาดอกไม้ที่ตำนิ้วข้าตอนที่ข้าและน้องสามกำลังชมดอกไม้อยู่มาทีเถิด หากสามารถหาหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ได้ ก็คงจะได้รู้กันเสียที”
“บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ หลังจากที่คุณหนูโดนหนามตำ บ่าวก็ให้คนไปดูแล้วเจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้พยักหน้ารับคำสั่งแล้วเดินจากไป
เจาเอ๋อร์มองไปที่อวี้อาเหราด้วยความไม่เข้าใจนัก “ก่อนหน้านี้ได้ยินนายน้อยสามกล่าวว่าท่านโดนหนามตำนิ้ว ที่แท้ก็เป็นเรื่องจริงหรือ คุณหนูคิดว่ามีคนกำลังลอบวางยาพิษท่านอยู่หรือเจ้าคะ?”
“ไม่ว่าคนที่ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจหรือจะลอบวางยาพิษเป็นผู้ใดก็ตาม ของเช่นนั้นก็ไม่ควรปรากฏอยู่ในจวนหลิงอ๋องอีกต่อไป” อวี้อาเหรามองท้องฟ้าที่ค่อยๆ มืดมิดลงเรื่อยๆ แล้วจึงเอ่ยขึ้น
สองนายบ่าวเข้าไปในห้องโถงใหญ่ แล้วจึงถวายความเคารพหลิงอ๋อง
หลิงอ๋องโบกมือ “ได้ยินว่าเจ้าถูกหนามของดอกไม้พิษตำนิ้วเข้า นี่ก็เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ถอนพิษได้หรือไม่”
“โชคดีที่เซิ่นซื่อจื่อถอนพิษให้ทันเพคะ มิเช่นนั้นแล้ว…” อวี้อาเหราพูดไป จากนั้นก็ถือโอกาสมองไปทางอนุรองที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย นางยังคงนั่งอยู่ข้างๆ หลิงอ๋องอย่างนิ่งเฉย ราวกับไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้น
แต่จะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวข้อง ใครเล่าจะรู้ความจริง?
หลิงอ๋องถามต่อไปว่า “เจ้ารีบร้อนออกไปกับเซิ่นซื่อจื่อเช่นนั้น นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่เล่า”
“เรื่องเป็นเช่นนี้เพคะเสด็จพ่อ” อวี้อาเหราถอนสายตาออกมาจากร่างของอนุรอง แล้วค่อยๆ อธิบายขึ้นมา “หลังจากที่เซิ่นซื่อจื่อทราบว่าลูกถูกหนามของดอกไม้พิษตำนิ้วเข้า เขาก็รีบพาลูกออกจากวังไปหายาถอนพิษ เมื่อถอนพิษแล้วจึงได้พาลูกมาส่ง เรื่องทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้เพคะ ดังนั้นคนอื่นจึงคิดว่าลูกถูกเซิ่นซื่อจื่อลากตัวออกจากจวนเพคะ”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง คนพวกนี้ก็ช่างเหลือเกิน ยังไม่ทันมองให้ชัดเจนก็เอาไปพูดส่งเดช โชคดีที่จื้อเอ๋อร์อยู่ในเหตุการณ์ด้วย มิเช่นนั้นคงจะเข้าใจพวกเจ้าสองคนผิดกันไปใหญ่” หลิงอ๋องพูดอย่างโกรธเคือง จากนั้นก็หันไปจ้องอนุรองตาเขม็ง “เจ้าได้ยินชัดแล้วหรือไม่ ต่อไปอย่าได้พูดอะไรส่งเดชอีก”