ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 635 พิษกำเริบจนตาย / ตอนที่ 636 ท่านอ๋องระวังด้วย
ตอนที่ 635 พิษกำเริบจนตาย
“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ” อนุรองโค้งกายยอมรับแต่โดยดี
เมื่อได้ยินหลิงอ๋องกล่าวเตือนอนุรองที่ก่อนหน้านี้เอาแต่พูดจาเรื่อยเปื่อยก่อนที่จะได้ฟังนางอธิบายเรื่องราวทั้งหมดเช่นนี้ อวี้อาเหราก็อยากจะรู้เสียนักว่าก่อนหน้านี้นางพูดอะไรกันแน่
หลิงอ๋องหันหน้ามาอย่างพึงพอใจ
อวี้อาเหรากวาดตามองไปรอบๆ “ท่านหญิงเล่าเพคะ”
“นางกลับจวนไปแล้ว พ่อเห็นว่าตอนที่นางกลับไปท่าทางดูไม่ค่อยปกตินัก พวกเจ้ามีเรื่องอะไรกันหรือ เหตุใดแม้แต่เซิ่นซื่อจื่อก็กลับจวนไปด้วย?” หลิงอ๋องว่า
“เอ่อ ที่จวนของพวกเขามีปัญหาเพคะ พวกเขาเลยต้องกลับกันไปก่อน” อวี้อาเหราพยักหน้าลง
หลิงอ๋องถอนหายใจออกมา “ด้านนอกมีหิมะตกหนัก เจ้าก็ไปชำระร่างกายเสียก่อนเถิด ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ดูอบอุ่นเสียหน่อย”
“ท่านอ๋อง แต่หากทิ้งเอาไว้นานอาหารจะเย็นหมดนะเพคะ” อนุรองเอ่ยปากอย่างระมัดระวัง
“ไม่ต้องรีบ เปลี่ยนเสื้อผ้าคงไม่ต้องใช้เวลาอะไรนานนัก” หลิงอ๋องโบกมือ ทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
อวี้อาเหราไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อเรียบร้อยแล้วนางก็ออกมาด้านนอก เห็นอวี้จื้ออยู่ที่หน้าประตู ดังนั้นจึงหยุดฝีเท้าลง “ด้านนอกหิมะตก หนาวยิ่งนัก เหตุใดเจ้าไม่เข้าไปนั่งกับเสด็จพ่อและอนุรองเล่า”
“นั่งอยู่ในห้องเสียนานจนเวียนหัวแล้ว เช่นนั้นจึงอยากจะออกมาสูดอากาศเสียหน่อย ในเมื่อพี่รองมาแล้วก็ดี พวกเราจะได้เดินไปกินข้าวพร้อมกัน เสด็จพ่อคอยพวกเราอยู่” อวี้จื้อยิ้ม ร่างกายของเขาแผ่ความอิสระของวัยเยาว์ออกมา
เครื่องหน้ายังคไม่เติบโตเต็มวัย แม้ว่าจะไม่ได้งดงามเหมือนฉู่ป๋าย แต่ก็ไม่ต้องคิดเลยว่าต่อไปจะต้องงามล่มเมืองเป็นแน่
เมื่อฝีเท้าหยุดลง อวี้อาเหราก็หันไปยิ้มให้เขา “ก่อนหน้านี้ก็ขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยดูดพิษออกให้ข้า หากไม่ได้เจ้าแล้ว ต่อไปพิษคงต้องกระจายไปทั่วร่างจนตายแน่”
เมื่อพูดเช่นนี้นางจึงพิจารณาสีหน้าของเขาโดยละเอียด เพื่อที่จะหาจุดบกพร่องในสีหน้าของเขา
ทว่ามองอยู่เป็นนาน ก็เห็นว่าเขาเอาแต่ยิ้มตอบกลับมา สะบัดแขนเสื้ออย่างสง่างาม “พี่รองเกรงใจเกินไปแล้ว ท่านและข้าต่างเป็นพี่น้องกัน หากท่านต้องพิษ ข้าที่เป็นน้องชายจะมองท่านตายไปโดยไม่ช่วยเหลือได้หรือ? ทว่าตอนที่เซิ่นซื่อจื่อลากท่านออกไปนั้น เขาได้ทำร้ายท่านหรือไม่…”
“ไม่หรอก” อวี้อาเหราส่ายหน้า แล้วยื่นนิ้วออกไปท่ามกลางแสงไฟ “เขาเพียงช่วยข้าถอนพิษเท่านั้น”
“จริงด้วย ในเมื่อพิษหายไปแล้ว ข้าก็วางใจ” อวี้จื้อยิ้มอย่างยินดี
“หึๆ” อนุรองเดินออกมาจากในห้อง เมื่อเห็นคนทั้งสองยืนพูดคุยหัวเราะกันอยู่ ก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก นางรีบเดินเข้ามาขวางทางอวี้จื้อเอาไว้พร้อมใบหน้ายิมแย้ม หันไปพูดกับอวี้อาเหราว่า “คุณหนูรอง เข้าไปข้างในเถิด อย่าให้ท่านอ๋องต้องรอนานเลย”
“อืม” อวี้อาเหราแฝงรอยยิ้มในดวงตา
เมื่อเห็นนางเข้าไปในห้องแล้ว อนุรองถึงค่อยดึงมือของอวี้จื้อเข้ามา ก่อนจะดุว่าเขาอย่างไม่ค่อยพอใจนัก “ต่อไปอยู่ให้ห่างจากนาง เข้าใจหรือไม่”
“เหตุใดเล่าท่านแม่” อวี้จื้อแสดงสีหน้าไม่เข้าใจ
“จื้อเอ๋อร์ แม่บอกให้อยู่ห่างก็อยู่ให้ห่างเถิด แม่ทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า อย่าได้เข้าไปใกล้นางอีก เจ้าควรรู้ว่าตอนนี้แม่ตั้งครรภ์อยู่ และเจ้าไม่ได้อยู่กับแม่มานับสิบปี มาอยู่กับแม่เถิด เพราะไม่รู้ว่าแม่จะมีชีวิตอยู่ได้ถึงเมื่อไหร่…” อนุรองกล่าวเช่นนี้ น้ำเสียงของนางก็เปลี่ยนไปเป็นแผ่วเบามากยิ่งขึ้น
อวี้จื้อรีบปลอบใจนางในทันที “ท่านแม่ ท่านอย่าได้คิดมากเลยขอรับ ท่านจะต้องมีอายุยืนยาวเป็นร้อยปี ตอนนี้ลูกก็กลับมาแล้ว นับแต่นี้ลูกจะอยู่ข้างกายท่านแม่ จะไม่ไปไหนอีก”
“จื้อเอ๋อร์เด็กดีของแม่ รีบเข้าไปกินข้าวเถิด” อนุรองยิ้มปลอบใจ
ตอนที่ 636 ท่านอ๋องระวังด้วย
อวี้อาเหราและหลิงอ๋องกำลังพูดคุยกันอยู่ในห้อง อนุรองและอวี้จื้อก็เดินเข้าไปในห้อง เมื่อเห็นว่ามากันครบแล้ว ก็สั่งให้คนยกอาหารเข้ามา นางและอวี้จื้อนั่งลงคนละฝั่งของหลิงอ๋อง จึงเห็นได้ชัดว่าหลิงอ๋องนั้นให้ความสำคัญกับพวกเขาทั้งสอง ถัดไปนั้นก็เป็นอนุรองและอวี้จื่อเยียน แล้วจึงเป็นอนุทั้งสอง
เป็นมื้ออาหารที่ทุกคนรวมตัวกัน คนในครอบครัวอยู่ร่วมกัน
ไม่ต้องบอกว่าหลิงอ๋องเป็นคนที่มีความสุขมากที่สุด
อนุรองเห็นอวี้อาเหราแล้วแน่นอนว่ารู้สึกขัดหูขัดตายิ่งนัก ทว่าในใจของอวี้อาเหรากลับไม่ได้คิดอะไร เพราะว่านางนั้นไม่ได้เป็นคุณหนูรองหลิงตัวจริง และคนที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่ใช่บิดาของนางจริงๆ เพียงแต่นางรู้สึกเสียดายแทนเจ้าของร่างเดิมและพระชายาหลิงอ๋องเท่านั้น หากพวกนางยังมีชีวิตอยู่ ไหนเลยพวกอนุรองจะได้มาเชิดหน้าชูตาเช่นนี้
ดูเหมือนว่าอาหารมื้อนี้จะดำเนินไปด้วยบรรยากาศที่ชื่นมื่น
เมื่อทานอาหารเรียบร้อยแล้ว อวี้อาเหราก็ยกถ้วยชาขึ้นดื่ม หางตาปรายไปเห็นเมี่ยวอวี้ที่เดินเข้ามาจากทางด้านนอก ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเอ่ยกับหลิงอ๋องว่า “ลูกมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการต้องพิษก่อนหน้านี้มากราบทูลเสด็จพ่อเพคะ”
“อ้อ มีเรื่องอะไรหรือ” หลิงอ๋องมองท่าทีหนักแน่นของนาง รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆ หายไป
“ทูลเสด็จพ่อ วันนี้ลูกถูกหนามของดอกไม้พิษในจวนตำเข้า เช่นนั้นจึงได้ต้องพิษ เมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้วลูกก็มาพินิจอย่างถี่ถ้วน จวนหลิงอ๋องของเรานั้นไม่มีทางปลูกพืชมีพิษได้เพื่อชื่นชมเป็นแน่ เช่นนั้นก็ไม่กลัวว่าอนุรองหรือคนอื่นจะต้องพิษเอาหรืออย่างไรเพคะ พิษนั่นก็ร้ายแรงเสียนัก หากต้องพิษเข้าโดยไม่ระวัง และไม่อาจรักษาได้ทันท่วงที พิษก็ชะกำเริบเสียจนตาย ดังนั้นเมื่อลูกมาคิดๆ ดูแล้ว คนที่นำดอกไม้พิษเช่นนี้เข้ามา คงจะเป็นเพราะมีจุดมุ่งหมายบางประการ”
อวี้อาเหรามองไปทางหลิงอ๋อง จากนั้นก็จึงค่อยเริ่มวิเคราะห์ขึ้น
หลิงอ๋องจึงโกรธเคืองขึ้นมา ตบโต๊ะในทันที “ใครกล้าที่จะทำของมีพิษเช่นนี้เข้ามาในจวนของเรา! ทหาร รีบไปตรวจสอบแล้วรายงานข้า…”
“ช้าก่อนเพคะเสด็จพ่อ ลูกให้เมี่ยวอวี้ไปนำดอกไม้พิษมาแล้ว เพื่อเป็นการพิสูจน์อย่างจริงแท้ จะได้รู้ว่าตกลงแล้วดอกไม้นั่นมีพิษหรือไม่มีพิษกันแน่ มิเช่นนั้นจะมีใครมาว่าลูกสร้างเรื่องขึ้นมาอีก” อวี้อาเหราว่า แล้วหันไปมองอนุรอง จากนั้นก็ร้องเรียกเมี่ยวอวี้เข้ามา
เมี่ยวอวี้รีบถือกระถางต้นไม้เข้ามา ดอกไม้นั่นเป็นดอกไม้ที่อวี้อาเหราเคยบอกเอาไว้ ก้านของมันเต็มไปด้วยหนาม หลิงอ๋อมองอยู่นาน สีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึม ของเช่นนี้มาอยู่ในสถานที่ที่ไม่ควรเลย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีคนตั้งใจที่จะเอาเข้ามาแน่ แต่เป็นใครกันที่กล้ามาทำเช่นนี้ในจวนหลิงอ๋อง
ทั่วทั้งจวนล้วนรู้ว่าอนุรองนั้นกำลังตั้งครรภ์อยู่
เมี่ยวอวี้ที่สั่งให้คนยกเข้ามานั้นก็ได้เอ่ยเตือนขึ้นมาอีกครั้ง “ล้วนแล้วแต่มีพิษ ต้องระวังให้ดีนะเพคะ หากไม่ระวังจนโดนหนามตำ ก็จะอันตรายถึงชีวิต…”
เมื่อดอกไม้พิษผ่านหน้าของอวี้จื่อเยียน นางก็รีบหลบไปอีกด้านในทันที ราวกับกลัวว่าจะโดนหนามตำเข้าอย่างไรอย่างนั้น
มุมปากของอวี้อาเหราโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง เรื่องนี้เป็นพวกนางแม่ลูกที่เป็นตัวต้นคิดจริงๆ จะต้องให้พวกนางแม่ลูกหลาบจำ ย้ำเตือนพวกนางว่าต่อไปต้องอยู่อย่างสงบ แม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจ พวกของอนุรองก็ไม่มีทางวางมือแต่โดยดีเป็นแน่
รอจนดอกไม้นี้ถูกเคลื่อนย้ายมาตรงหน้าของหลิงอ๋องแล้ว เขาจึงค่อยยืนขึ้นจากเก้าอี้ ยกดอกไม้ขึ้นแล้วหันมา จากนั้นก็ลองยื่นมือออกไปแตะ จนทำให้อนุรองร้องขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก “ท่านอ๋องโปรดระวังด้วย ดอกไม้นี่มีพิษนะเพคะ”
“เราทราบแล้ว” หลิงอ๋องไม่ได้เป็นคนโง่ แน่นอนว่าย่อมเข้าใจดี แต่ก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อลูบไล้กระถางต้นไม้ หลังจากพิจารณาอยู่สักครู่แล้วจึงค่อยพยักหน้า “ดูแล้วคงจะมีพิษจริงๆ”