ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 653 พูดพอหรือยัง / ตอนที่ 654 แสดงให้เห็น
ตอนที่ 653 พูดพอหรือยัง
“ไม่ได้พูดอะไร” อวี้อาเหราพูดอย่างแร้นแค้น ยายเด็กคนนี้เริ่มที่จะสอดรู้สอดเห็นและทำหน้าเป็นอีกแล้ว ทว่าก็ยังน่ารักน่าเอ็นดูกว่าตอนทำหน้าอมทุกข์ตั้งมาก
ฉู่เกอบุ้ยปากเมื่อถูกขัดใจ “น้องก็แค่ถามเท่านั้นเอง”
“ก็ไปถามพี่ชายเจ้าเองสิ” อวี้อาเหราว่า
“ก็ข้าไม่กล้าถามนี่” ฉู่เกอหดคออยู่ตื่นกลัว ก่อนหน้านี้นางก็ทำให้เขาไม่พอใจที่ออกไปกับอวี้จื้อ หากนางจะรนหาเรื่องอีกก็เท่ากับไปตายชัดๆ นางยังไม่ได้โง่ถึงขนาดจะรนหาที่ตายเสียหน่อย ในใจของนางนิ่งงัน ไม่เข้าไปถามอะไรอีก มิเช่นนั้นก็เท่ากับรนหาเรื่องเองแท้ๆ
ฉู่ป๋ายกระแอมออกมาเพื่อทำให้คอโล่ง “พวกเจ้าพูดพอหรือยัง”
“พอแล้ว” ฉู่เกอถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว หลบอยู่ด้านหลังของอวี้อาเหรา ในสายตาของนาง ฉู่ป๋ายเหมือนสิงโตที่กำลังโกรธเคืองอยู่ไม่มีผิด
ฉู่ป๋ายเลิกคิ้วแล้วมองไปทางอวี้อาเหรา “ที่เจ้ามาหาข้าที่นี่ก็เพราะมีธุระมิใช่หรือ”
“ใช่แล้ว” อวี้อาเหราพยักหน้า แล้วมองไปทางคนอื่นๆ อย่างลังเล
ฉู่ป๋ายส่งสายตาไปทางหานสือ “พาออกไปสิ”
“ท่านหญิง นายน้อยสาม เชิญทางนี้ขอรับ” หานสือทำทีเชิญพวกเขาออกไป
ฉู่เกอไม่ยอมให้ตัวเองโดนไล่ออกไปเช่นนี้ นางอยากรู้ว่าพวกเขาทั้งสองกำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่ แต่เมื่อเห็นสีหน้าหนักแน่นของฉู่ป๋ายเข้า นางที่เข้าใจนิสัยของพี่ชายตัวเองดี ก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีก ยอมเดินออกไปอย่างเชื่อฟังแต่โดยดี
เมื่อคนทั้งหมดออกไปแล้ว ฉู่ป๋ายจึงทอดมองอวี้อาเหรา “เจ้าคงไม่ได้มาที่จวนเซิ่นอ๋องเพื่อมาหาข้าเฉยๆ แน่ ครั้งนี้เข้ามาหาข้าทำไมกัน”
“เจ้ารู้เรื่องพระอารามจีซูหรือไม่” อวี้อาเหราถามอย่างลังเล ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองฉู่ป๋ายอย่างระแวดระวัง เมื่อเห็นคิ้วตาดังวาดของเขา ที่กำลังนิ่งฟังนางพูดออกมาโดยไม่มีท่าทีตื่นตกใจเลยแม้แต่น้อย ดวงตามืดมัวลง แต่ไม่สามรถบอกได้เลยว่าเขายินดีหรือโกรธเคืองกันแน่
“เจ้าจะไปที่แห่งนั้นเพื่ออะไร” ผ่านไปชั่วครู่ ในตอนที่อวี้อาเหราคิดว่าเขาคงจะไม่ตอบแล้ว ฉู่ป๋ายกลับเอ่ยปากขึ้นมา จนทำให้นางรับมือไม่ทัน แต่หลังจากที่นางชะงักงันไปแล้ว นางก็ลองที่จะเปลี่ยนเรื่องคุยดู
“เจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องของข้าหรอก เพียงแต่สนใจตอบในเรื่องที่ข้าถามก็พอ”
“อยากรู้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” คิ้วของฉู่ป๋ายเลิกสูง ความหม่นหมองในดวงตาค่อยๆ อับแสงลง แล้วมองนางอีกครั้งด้วยสายตาไม่ใคร่ใส่ใจนัก
อวี้อาเหราพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเต็มที่ หากนางไม่อยากรู้แล้วจะถามทำกันเล่า
ฉู่ป๋ายตบพื้นที่ว่างข้างๆ ตัวเป็นนัยให้นาง
นี่เขาคิดจะทำอะไรกัน
อวี้อาเหราเห็นท่าทีของเขาแล้วก็ชะงัก จากนั้นจึงค่อยเดินเข้าไปด้วยท่าทีกึ่งเชื่อกึ่งไม่เชื่อ กลัวอะไร เขาคงไม่กินนางเข้าไปหรอกน่า
ฉู่ป๋ายมองนางยิ้มๆ “หากเจ้าอยากจะรู้จริงๆ ก็ลองมาแสดงให้ข้าเห็นเสียหน่อยสิ”
แสดงให้เห็นหรือ?
อวี้อาเหรามองเขาที่กำลังยิ้มมุมปาก ใบหน้าของเขายังแสดงสีหน้าแย้มยิ้ม ในใจของนางก็สั่นไหวขึ้นมา ไม่ใช่ว่า…ไม่ใช่ว่าจะต้องแสดงให้เห็นถึงวิธีการเช่นนั้นหรอกใช่หรือไม่ วิธีที่คนรักกันในยุคปัจจุบันทำกัน
อย่างเช่น…จูบเขา
ในใจของนางลังเลอยู่นาน หากไม่จูบ นางก็คงจะไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองปรารถนา แต่หากจะได้ให้นางจูบเขา นางก็ลำบากใจเหลือเกิน นางยังเป็นกุลสตรีแรกแย้ม แม้ว่าก่อนหน้านี้จะถูกฉู่ป๋าย…
ในช่วงเวลานั้น นางก็กระวนกระวายใจเหลือเกิน
“หากเจ้าไม่รีบหน่อย ก็ช่างมันเถิด ไปถามคนอื่นเสีย” ฉู่ป๋ายเอ่ยปากอย่างเย็นชา จากนั้นก็โพล่งขึ้นมาอีกว่า “แต่ว่าเรื่องพระอารามจีซูนี้ มีเพียงข้าเท่านั้นที่รู้มากกว่าผู้อื่น เจ้าก็พิจารณาให้ดีก็แล้วกัน”
ตอนที่ 654 แสดงให้เห็น
อวี้อาเหรากำหมัดแน่น เจ้าฉู่ป๋ายตัวดี บีบบังคับนาง เห็นได้ชัดว่าต้องการให้นางร้องขอเขาสินะ
นางจำต้องข่มเขาโคขืน
ดังนั้น นางจึงค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้า หลับตาลง จะจูบลงที่ริมฝีปากของอีกฝ่าย
ก็เหมือนกับโดนจูบสักครั้งเท่านั้นแหละ นางเคยผ่านมาหลายครั้งแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียดายอะไรอีกแล้ว นางกัดฟันแล้วพยายามกลั้นใจเอาไว้
ฉู่ป๋ายเห็นสีหน้ากล้ำกลืนของนางเข้า สายตาของเขาก็เย็นชาขึ้นมา “เจ้าหลับตาทำไมกัน?”
“…” เมื่อได้ยินน้ำเสียงเฉยชาของเขา อวี้อาเหราก็จำต้องลืมตาขึ้น แล้วมองไปทางใบหน้างดงามเหมือนชิ้นหยกของเขา
นางทำไม่ลงจริงๆ!
แม้อีกฝ่ายหน้าตาขี้เหร่นางก็ทำไม่ลงแน่ ทว่าฉู่ป๋ายกลับงดงามถึงเพียงนี้
อวี้อาเหราลำบากใจนัก หากเปลี่ยนเป็นหญิงคนอื่น แน่นอนว่าคงต้องยอมทำอย่างเต็มใจแน่
ทว่าสำหรับอวี้อาเหรา เพียงแค่จูบเดียว ก็เหมือนกับเป็นการดูถูกอีกฝ่าย
ใบหน้างดงามเหมือนงานหยกเจียระไนเช่นนี้ หากจูบลงไปสักครั้ง ก็คงเท่ากับเป็นการสร้างมลทินให้อีกฝ่ายเท่านั้น
“นิ่งทำไม รีบเข้าสิ” ฉู่ป๋ายเร่งอย่างไม่พอใจ
อวี้อาเหราไม่เคยเห็นท่าทีร้อนใจของเขาเช่นนี้มาก่อน จึงจำต้องบังคับศีรษะตัวเองให้จูบลงไป
ยามที่แตะลงบนริมฝีปากของเขา ก็เหมือนถูกไฟของอีกฝ่ายหลอมละลาย จนตัวนางไหม้เป็นจุณในชั่วพริบตา
จากนั้น เขาก็ใช้มือกดศีรษะของนาง เพื่อให้ริมฝีปากของนางอยู่กับที่ แล้วจูบอย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
จูบของเขาเป็นจูบที่เย็นเฉียบและยังเหมือนดวงดาวแห่งเปลวเพลิง จนดวงใจของนางราวเป็นดวงไฟแผดเผา
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด อวี้อาเหรารู้สึกขาดอากาศหายใจ ฉู่ป๋ายจึงปล่อยมือในที่สุด
เมื่อมองเขาอีกครั้ง ใบหน้าของอวี้อาเหราก็แดงซ่านไปทั่ว
ฉู่ป๋ายยิ้มอ่อนบาง จากนั้นก็เลิกคิ้วอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว “ไม่เคยเจอหญิงสาวที่รุกก่อนเช่นเจ้ามาก่อนเลย ข้าเพียงจะขอให้เจ้ารินน้ำชาให้เท่านั้น ไม่คิดเลยว่า…”
“เจ้า!” อวี้อาเหราโกรธขึ้นมาในทันที ใบหน้าของนางแดงเหมือนถูกไฟเผา แต่ว่า! นางไม่ได้อาย นางโกรธต่างหาก ไม่คิดเลย…ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าจะถูกชายเช่นนี้เอาเปรียบ นางโกรธเสียจนแทบอยากจะกระอักเลือดในอกออกมาเสียเลยทีเดียว
ยังมีชายคนใดที่ร้ายกาจเหมือนเขาอีกหรือไม่
ไม่มี!
เขากดดันนาง หลังจากที่นางก้มลงจูบ เขากลับบอกว่านางเป็นคนทำ
มันกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร!
ในใจของอวี้อาเหราสับสนวุ่นวาย ทำไมในโลกนี้จึงมีผู้ชายเช่นนี้ไปได้ นางที่เป็นคนของยุคปัจจุบันแท้ๆ กลับถูกคนโบราณล้อเล่นเช่นนี้ หากนางบอกใครเข้า ก็คงจะต้องอับอายไปชั่วชีวิตที่ย้อนอดีตมาเป็นแน่
ร้ายกาจ ร้ายกาจนัก!
ใจของนางเหมือนม้านับร้อยตัวกระโจนหายไป จนไม่เห็นแม้แต่ร่องรอย
ที่น่าโกรธที่สุดไม่ใช่ที่นางโดนหลอก แต่เป็นที่เขาบอกว่านางรุกเขาก่อน อย่างไรเสียนางก็เป็นธิดาเอกจวนหลิงอ๋อง หากข่าวแพร่ออกไป คงจะเสียหายเป็นอย่างมาก น่าขายหน้าเหลือเกิน
เมื่อเห็นรอยยิ้มไม่ทุกข์ไม่ร้อนของฉู่ป๋าย อวี้อาเหราก็พยายามที่จะกลืนความโกธเคืองของตัวเองลงท้องไปให้หมด
เกินไปแล้วมิใช่หรืออย่างไร!
ฉู่ป๋ายมองหน้านางอย่างสงบ ไม่มีท่าทีรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย
อวี้อาเหราสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ แล้วเคลื่อนย้ายสายตาไปทางถ้วยน้ำชาที่อยู่ข้างๆ รินแล้วยื่นส่งให้
ฉู่ป๋ายจิบเล็กน้อยอย่างวางท่า ราวกับกำลังจิบน้ำทิพย์เลอค่า
“…” อวี้อาเหราเห็นแล้วก็หมดคำจะพูด
“ได้ ข้าจะบอกเจ้า” เมื่อวางถ้วยชาลง ฉู่ป๋ายจึงค่อยเอ่ยปากขึ้น