ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 679 แอบฟัง / ตอนที่ 680 ได้ยินแล้ว
ตอนที่ 679 แอบฟัง
อวี้อาเหราคิดดังนั้น ในใจก็ชะงัก ความรู้สึกคับแค้นก็พุ่งเข้ามาในใจ
เมื่อคานข้างบนไม่ตรง คานข้างล่างย่อมเบี้ยวตาม มิน่าเล่าฉู่เกอถึงชอบทำเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นเพราะเหตุนี้นี่เอง!
อวี้อาเหราโกรธไม่น้อย ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ในใจโกรธเคืองเหมือนมีมดไต่จนรู้สึกคันยิบๆ
หากความลับของนางถูกฉู่ป๋ายล่วงรู้เข้า แล้วจะทำอย่างไรกัน? แต่ที่โชคดีก็คือ ดีที่นางไม่ได้เอ่ยเรื่องของหนิงจื่อเย่ออกมา มิเช่นนั้นนางคงจะต้องแก้ตัวเป็นพัลวันแน่ ฉู่ป๋ายคงจะโกรธเคืองนางเป็นที่สุด จนอาจจะตื่นกลัวเสียจนฆ่านางเป็นแน่
เมื่อประมุขของพระอารามจีซูเห็นฉู่ป๋ายก็ไม่ค่อยพอใจนัก ทั่วทั้งบริเวณกลายเป็นความหนาวเย็น มิต้องพูดเรื่องอะไรให้มากความ เขาสะบัดฝ่ามือแรง ในเวลาเดียวกัน น้ำเสียงโกรธเคืองก็เอ่ยขึ้นมาเช่นเดียวกัน “สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดก็คือการแอบฟังในพระอารามจีซูแห่งนี้!”
มิเพียงแต่แอบฟังเท่านั้น ทั้งยังเพิ่งจะมาค้นพบตอนที่ฟังทุกเรื่องไปจนหมดแล้ว
จะไม่โกรธได้หรือ?
พระอารามจีซูนั้นให้ความสำคัญเรื่องการรักษาความลับเสมอมา แต่เมื่อมีคนอื่นเข้ามาได้ยินความลับนั้น จะเรียกความลับได้หรือ? ต่อไปหากเรื่องนี้แพร่ออกไป ใครจะกล้ามาที่พระอารามจีซูอีก คนที่มานั้น ล้วนแล้วแต่แบกความลับมากมายเอาไว้บนหลัง
ฉู่ป๋ายหลบเล็กน้อย ทว่ากลับหลบได้อย่างเฉียบคม
ทว่า ชายหนุ่มเจ้าบ้านกลับไม่ยอมปล่อยเขาไปโดยง่าย ทั้งยังปล่อยพลังโจมตีออกมาอีกไม่หยุด ทุกการโจมตีนั้นรุนแรงโหดร้ายยิ่ง
ทุกช่วงวินาทีหมายถึงชีวิต
อวี้อาเหราตีหน้าขรึม มองพวกเขาทั้งสองสู้กัน ส่วนตัวนางก็หลบมาอีกด้าน ในใจคิดว่าอีกสักครู่นั้น นางจะอธิบายเรื่องของตัวเองว่าอย่างไรดี หรือว่าจะต้องเปิดเผยออกไปจริงๆ? แม้ในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น นางและฉู่ป๋ายก็มีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีต่อกัน แต่อย่าได้ลืมว่าเขาเป็นซื่อจื่อของจวนเซิ่นอ๋อง เป็นซื่อจื่อที่ควบคุมอำนาจของราชวงศ์ต้าเยี่ยน หากนำเรื่องของนางไปทูลฮ่องเต้ จะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่! และอาจเกิดการถอนยศขึ้นมาได้!
ทว่าหนิงจื่อเย่นั้นเคยพูดขึ้นมาแล้ว ว่าฮ่องเต้พระองค์นี้มีความแค้นและต้องการที่จะกำจัดราชวงศ์ก่อนให้สิ้นซาก!
เห็นจากที่ส่งทหารฝีมือดีมาคอยคุ้มกันซากของพระราชวังเดิมของราชวงศ์เก่ามานานปีนั้นก็รู้แล้ว!
ทว่านาง จะปล่อยให้ตัวเองตายอีกรอบได้หรือ?
ในยามที่นางกำลังคิดอย่างเศร้าใจอยู่นั้นและพยายามที่จะหลบเสียงตึงตังของชายในฉากกั้นและฉู่ป๋าย ทว่าทั้งสองก็ค่อยๆ เหนื่อยอ่อนลงเรื่อยๆ เนื่องจากยามที่ชายหนุ่มในฉากกั้นจะลงมือนั้นมีจำกัด ดังนั้นจึงไม่อาจลงมือได้เต็มที่
และฉู่ป๋ายที่สูญเสียพลังยุทธ์ไปแล้วยังไม่ฟื้น
ทั้งสองเริ่มที่จะเหนื่อยอ่อน จนฝีมือเริ่มที่จะพอๆ กัน
คนที่อยู่ด้านนอกของตำหนักได้ยินเสียงสู้รบ ก็รีบพุ่งเข้าไปในทันที เมื่อเห็นฉู่ป๋ายและประมุขของพระอารามจีซูกำลังต่อสู้กัน แน่นอนว่าฉู่เกอนั้นไม่อยู่เฉยแน่ นางจึงก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยเหลือพี่ชายของตัวเอง ในขณะที่จวินอู๋เหินกลับเอาแต่จ้องมองเหมือนดูการละเล่นราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่ และหลบอยู่ข้างๆ อวี้อาเหราเพื่อจ้องมอง
มุมปากของเขายังไม่วายที่จะหัวเราะเสียงเย็น “เรายังคิดอยู่เชียวว่าเขาหายไปไหน ที่แท้ก็มาแอบฟังอยู่ที่นี่เอง สมน้ำหน้านัก…”
อวี้อาเหราจ้องมองเขา จากนั้นก็หันกลับมา แล้วมองไปยังคนทั้งสองที่กำลังทะเลาะกันอยู่ แล้วตะคอกใส่เพื่อบอกให้หยุด
คนเหล่านั้นหยุดจริงๆ จากนั้นก็มองไปทางอวี้อาเหราด้วยสายตาสงสัย
น้ำเสียงของประมุขพระอารามจีซูมีความโกรธเคืองเป็นอย่างมาก สะบัดชายเสื้อแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ทำการค้ากับพวกเจ้าแล้ว ไสหัวไป!”
อวี้อาเหรารู้สึกประหลาดใจนัก เหตุใดประมุขของพระอารามจีซูจึงได้โกรธเคืองถึงเพียงนี้เล่า? ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าความลับที่ถูกแอบฟังนั้นเป็นความลับของนาง! ไม่ต้องรอให้นางสงสัยอะไรนาน ประมุขของพระอารามจีซูก็เดินออกไปทางด้านหลังของฉากกั้นอย่างรวดเร็ว ภายในตำหนักมีเขาเพียงคนเดียว นางมองฉู่ป๋ายด้วยความกระวนกระวายใจ เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของเขา นางก็ย่นคอหนีทันที
ตอนที่ 680 ได้ยินแล้ว
เมื่อประมุขของพระอารามจีซูจากไป อวี้จื้อที่รออยู่ด้านนอกก็เข้ามาด้านในเพราะได้ยินเสียงต่อสู้
เมื่อมองไป เขาก็ชะงักเล็กน้อย แล้วจึงมองไปทางอวี้อาเหรา “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันหรือ พี่รอง?”
“ไม่มีอะไร” อวี้อาเหราส่ายหน้า
ทุกคนนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา อวี้จื้อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกติ ทว่าทุกคนกลับไม่ยอมที่จะเอ่ยปาก เขาก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร
ฉู่ป๋ายเงยหน้ามองทุกคน จากนั้นก็เอ่ยปากอย่างเย็นชา “พวกเจ้าออกไปก่อน ข้ามีเรื่องที่จะพูดคุยกับนาง”
เมื่อพูดไป สายตาก็มองมายังร่างของอวี้อาเหรา
ทุกคนเข้าใจในทันที ฉู่เกอเม้มปาก อยากจะรู้นักว่าทำไมประมุขของพระอารามจีซูถึงไม่ยอมทำการค้าแล้ว ทว่าเพียงได้ยินคำพูดของฉู่ป๋ายแล้ว ทันใดนั้นนางก็ยิ้มในหน้า แล้วมองไปยังคนทั้งสองอย่างออกรสออกชาติ หมุนกายเดินจากไป เมื่อเห็นอวี้จื้อยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าสงสัย นางก็รีบลากเขาให้ออกไปพร้อมๆ กันอย่างอารมณ์ไม่ดี
เมื่อประตูตำหนักปิดลง ทั่วทั้งบริเวณก็กลายเป็นความนิ่งเงียบ
อวี้อาเหราสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ แล้วลอบมองฉู่ป๋าย เห็นเสื้อผ้าสีขาวของเขา ส่องประกายอยู่ภายในความอับมืด ทั่วทั้งร่างของเขากลายเป็นความหนาวเย็นจับกระดูก ราวกับฝนพรำในฤดูใบไม้ผลิ ที่เม็ดฝนแผ่วบางของฤดูใบไม้ผลิประพรมใบหน้าเสียจนรู้สึกหนาวเย็นขึ้นมา
และหนาวเย็นเหมือนกับยอดเขาหิมะที่ถูกแสงตะวันละลาย เหมือนหนาวก็ไม่หนาว แต่จะอุ่นก็ไม่อุ่น
ใบหน้างดงามหล่อเหลาราวแผ่นหยก ริมฝีปากบางที่เม้มเข้าหากัน ท่าทีของเขานิ่งเฉยไม่ขยับไปทางไหน
ในเวลาเดียวกัน เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นว่าเขากำลังมองนางนิ่งๆ สายตาราวกับคบเพลิง ทว่าไม่ได้เคร่งเครียดมากนัก
อวี้อาเหราถูกเขามองเช่นนี้เสียจนขนลุก สายตาของอีกฝ่ายนิ่งงันถึงเพียงนั้น และเมื่อยิ่งมองเข้าไป ใจของนางก็ยิ่งสับสน หวังว่าเขาจะพูดออกมาตรงๆ แต่อย่างไรก็ไม่ควรใช้สายตาเย็นชาเช่นนี้มองมาที่นาง! นางกระวนกระวายอยู่ชั่วครู่ ก็ถูกนางควบคุมความไม่สบายใจของตัวเองเอาไว้ได้
พยายามที่จะทำให้ตัวเองสงบ แต่นางไม่เห็นฟังเขาพูด และยิ่งไม่เคยเห็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์เช่นนี้
มองอะไรกัน? มันน่ามองถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
ในที่สุดอวี้อาเหราก็ทนไม่ไหว นางกัดริมฝีปากแล้วเอ่ยขึ้น คว้าชายเสื้อทั้งสองข้างด้วยท่าทีลังเลเป็นอย่างมาก
“เจ้า ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเลยหรือ?”
“อืม” ฉู่ป๋ายพยักหน้า
อวี้อาเหราใจสั่น จากนั้นก็เอ่ยถามต่อ “เจ้าก็ต้องรู้สิว่าข้าไม่ได้ใช่คุณหนูรองหลิงตัวจริง?”
“อืม” ฉู่ป๋ายพยักหน้าอีกครั้ง
“อย่างนั้นเจ้าก็ต้องได้ยินสิว่าที่จริงแล้วข้านั้นคือองค์หญิงจีซูแห่งราชวงศ์ก่อน?” อวี้อาเหราพยายามที่จะควบคุมใจตัวเองที่ไม่สงบ แต่ไม่ใช่เพราะตื่นเต้น แต่เป็นเพราะความเศร้าใจต่างหาก
“ใช่แล้ว” ฉู่ป๋ายพยักหน้าเล็กน้อย
อวี้อาเหรามองท่าทีนิ่งเฉยของเขาก็รู้สึกโกรธเคือง ราวกับกำลังต่อยลงไปในปุยนุ่นก็มิปาน ซึ่งไร้ซึ่งแรงสะท้อนกลับ จะไม่ให้โกรธได้อย่างไร? เมื่อคิดดังนั้น นางก็ไม่อาจทน เงยหน้าขึ้นอย่างแรง
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน หากเจ้าต้องการจะเปิดเผยเรื่องของข้าเจ้าก็ทำไปเลย แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับหลิงอ๋องเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าหลิงอ๋องจะไม่ใช่พ่อที่แม้จริงของข้า แต่เขาก็ดีกับข้ามา ข้าไม่อย่างทำให้เขาต้องลำบาก…”
บอกไปแล้ว นางก็หลับตาลงอย่างจำยอม
ช่างเถิด! จะฆ่าจะแกงกันก็เชิญ!
“ข้ารู้นานแล้ว”
ในยามนั้น ฉู่ป๋ายก็เอ่ยขึ้น
“เจ้า…เจ้าว่าอะไรนะ?”
อวี้อาเหราตกใจ จนเกือบจะถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว ทำไมกัน? จะเป็นไปได้อย่างไร?
นางเองยังเพิ่งรู้เมื่อเมื่อไม่นานมานี้ แล้วเหตุใดฉู่ป๋ายจึงรู้เสียนานแล้ว! แน่นอนว่าเขาจะต้องโกหกแน่ ใช่ เขากำลังโกหก!