ลิขิตรักส่งฉันมาเป็นคู่เธอ - ตอนที่ 110
ตอนที่ 110 ความต้องการ
หยินซิ่งที่นั่งอยู่ข้าง ๆ รีบตอบแทนคุณหนูทันทีว่า “คุณนาย คุณหนูเพิ่งจะอายุแค่ 22 ปีเองนะคะ อย่ารีบร้อนไปเลยค่ะ นายหญิงแก่ก็เพิ่งจะเสียไปได้ไม่นาน ร่างกายของคุณหนูก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ หากคิดจะมีก็ต้องดูแลร่างกายของตัวเองให้ดี ๆ ก่อนค่ะ คุณผู้ชายเองก็คิดแบบนี้”
“อื้อ หยินซิ่งต้องดูแลเหวินเหวินให้ดี ๆ นะ ทำของบำรุงให้เธอมากหน่อย”
“ได้คะคุณนาย”
หลังจากนั้นหวาเหวินก็อยู่คุยกับพ่อและแม่อยู่ภายในห้องรับแขกอีกสักพัก
เธอก็รู้สึกง่วงขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเธอมีอาการง่วงนอน หยินซิ่งก็พูดขึ้นว่าถึงเวลาที่คุณหนูต้องนอนพักกลางวันแล้ว
ทั้งสองคนเดินขึ้นไปพักผ่อนในห้องพักแขกด้านบน
มื้อกลางวันทั้งสองก็รับประทานอาหารที่บ้านของตระกูลหวา
ทุกคนรู้ว่าหวาเหวินไม่กินเนื้อ ดังนั้นจึงทำอาหารมังสวิรัติออกมา
หวาเหวินไม่ได้รู้สึกเป็นกังวลเท่าไหร่นัก เธอพอเดาออกได้เลือนราง
ที่พ่อกับแม่ทำแบบนี้ พาเธอกลับมาบ้าน ซื้อผลไม้ทำอาหารมังสวิรัติให้เธอ
ปฏิบัติกับเธออย่างอ่อนโยนแบบนี้ ต้องมีเรื่องขอร้องอย่างแน่นอน
และก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ …..
หลังจากทานข้าวเสร็จคุณนายหวาก็ถือโอกาสพูดขึ้นว่า “เหวินเหวิน ความจริงแล้ววันนี้แม่มีเรื่องจะคุยกับลูก อยากให้ลูกช่วยสักหน่อย”
“แม่มีเรื่องอะไรก็พูดออกมาเลยค่ะ ไม่ต้องเกรงใจ”
สีหน้าของหวาเหวินแสดงออกมาอย่างนิ่งเฉย แต่ภายในใจกลับรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
ตั้งแต่เล็กจนโต เธอได้รับความรักจากพ่อกับแม่น้อยมาก
เป็นเพราะว่าเด็กผู้ชายที่เกิดมาพร้อมกับเธอในปีนั้นไม่รอด เธอจึงถูกตัดสินว่าเธอฆ่าน้องชายของตัวเอง ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลหวา
ดังนั้นตอนเด็ก ๆเธอจึงได้ถูกส่งไปอยู่บนภูเขา
หลายปีมานี้ วันที่พ่อและแม่มาหานับครั้งได้เลย
ดังนั้นถ้าจะให้พูดว่ารู้สึกอย่างไร ก็คงจะพูดไม่ได้
อีกทั้งตระกูลหวาก็มักจะประจบสอพลอผู้ที่มีฐานะสูง เพื่อผลประโยชน์มาตลอดชีวิตอยู่แล้ว
เรื่องนี้ หวาเหวินเองก็มองออกตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
พูดจริง ๆก็คือถึงแม้ว่าคุณนายหวาจะเป็นแม่
แต่ความรู้สึกของเธอในตอนนี้ยังไม่รู้สึกสบายใจเท่าแม่ของเจียงหยู่แต่อย่างใด
อย่างน้อยคุณนายเจียงก็ไม่เสแสร้ง ไม่มีอำนาจ ไม่ได้เห็นแก่ผลประโยชน์ตลอดเวลา
คุณนายหวาดึงมือของหวาเหวินขึ้นมา แล้วนำมาวางบนฝ่ามือก่อนตบลงไปเบาๆ
ดูเหมือนกับหญิงสาวที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกันอย่างไรอย่างนั้น
“เหวินเหวิน ความจริงแล้วเรื่องนี้มันไม่สมควรพูดหรอก แต่แม่เองก็หมดหนทางแล้ว …… คุณน้าของตระกูลเรา ฉูเจี้ยนหมินจำได้ไหม?”
“จำไม่ค่อยได้คะ”
“ไอหยา คนที่มาร่วมฉลองวันเกิดคุณย่าคนนั้น รูปร่างผอมๆสูง ๆหน่อยอ่า ชอบดื่มเหล้า คนที่ดื่มทีหน้าแดงก่ำคนนั้นอ่า”
“จำไม่ได้ค่ะ” หวาเหวินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ช่างเถอะ จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ก่อนหน้านั้นเขาทำโรงงานซ่อมรถ และเปิดสาขามากมาย ช่วงแรก ๆ มันก็ดีอยู่หรอก แต่ต่อมาเขาบริหารไม่เก่งจนต้องปิดตัวลง ตอนนี้ครอบครัวของเขาค่อนข้างลำบากมาก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นน้องชายของแม่ แม่เลยคิดว่าจะทำเฉยเมยไม่ได้ ตอนนี้เขาคิดที่จะไปเปิดกิจการอีกครั้งบนเขาทิศตะวันออก แต่เพราะของที่เอาไว้ไปไว้ค้ำประกันมีไม่เยอะ จะไปขอทำการกู้กับธนาคารอื่นก็ยาก แม่คิดว่าตระกูลเจียงก็ทำธนาคารส่วนตัวพอดี ช่วยทำกู้ให้กับน้าเข้าหน่อยนะช่วยเขาหน่อย เป็นญาติกัน ยังไงก็ทนดูเฉย ๆ ไม่ช่วยไม่ได้หรอก”
คุณนายหวาพูดไปพลาง คอยสังเกตสีหน้าของลูกสาวไปพลาง
แต่น่าเสียดาย เธอไม่สามารถเดาอารมณ์สุขทุกข์เศร้าโกรธจากใบหน้าของหวาเหวินได้เลย
เธอมักจะแสดงสีหน้าเรียบเฉย ต่อให้ได้ยินข่าวคราวที่น่าอัศจรรย์ ก็ยังคงไม่แสดงปฏิกิริยาตอบสนองที่ดูตื่นเต้นออกมาแต่อย่างใด
เมื่อหวาเหวินฟังประโยคนี้จบ ก็หัวเราะอย่างเย็นชาขึ้นมาในใจทันที
เธอตั้งใจทำเป็นไม่เข้าใจ แล้วถามคุณนายหวาว่า “แม่คะ โรงงานซ่อมรถแห่งหนึ่งก็ไม่ได้ใช้เงินมากมายเท่าไหร่ ไปทำเรื่องกู้ธนาคารก็ต้องมีดอกเบี้ยนะคะ ไม่คุ้มทุน แม่ก็พอมีเงินอยู่ไม่ใช่เหรอคะ? ให้เขายืม ไม่ได้เหรอคะ? ในเมื่อเขาเป็นน้องชายของแม่ ก็ช่วยเขาเถอะ ไม่อย่างนั้นหลังจากนี้ คนของคุณยายต้องมองหน้ากันไม่ติดแน่ ๆ”
ดูเหมือนคุณนายหวาจะเตรียมพร้อมมาก่อนแล้ว เธอยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเด็กโง่ เอาเงินแม่ให้ไม่ได้หรอก เขารู้ว่าครอบครัวเรามีเงิน ให้ไปก็ไม่คืนอยู่ดี แต่ถ้าเขาไปยืมธนาคาร ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่คืน หากไม่คืนย่อมมีผลกระทบต่อเครดิตของเขา นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แม่คิดๆดูแล้ว ลูกลองพูดกับเจียงหยู่หน่อยสิ แม่ว่าน่าจะได้นะ”
เป็นแผนการที่ชาญฉลาดมาจริง ๆ หวาเหวินเกลียดแม่แบบนี้ที่สุด คอยเอาแต่จ้องจำผิดพฤติกรรมของเธออยู่ตลอดเวลา