ลิขิตรักส่งฉันมาเป็นคู่เธอ - ตอนที่ 120
ตอนที่ 120 งานเลี้ยงส่วนตัว
แก้มของหวาเหวินแดงระเรื่อขึ้นมาทันใด……..
พูดตามความจริง เธอไม่ค่อยชินที่ถูกคนชมแบบนี้เท่าไหร่นัก เมื่อก่อนไม่ว่าตัวเองจะทำดีมากแค่ไหน คุณย่าก็ไม่เคยพูดชมด้วยคำพูดที่สวยหรูเลยสักนิดเดียว
นานวันเข้า เธอก็ชินไปแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ไม่จำเป็นต้องมาชื่นชม
ไม่รู้ว่ามันคือความรู้สึกแบบไหน?
ในตอนที่เจียงหยู่เอ่ยปากชื่นชมเธออย่างจริงเมื่อสักครู่นี้ เธอรู้สึกเขินอายจนหน้าแดงขึ้นมาทันใด
หวาเหวินก้มหน้าลง เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
บทเพลงของ Liszt เธอฝึกเล่นมาตั้งแต่เด็ก ๆจนโต ขนาดหลับตาก็ยังสามารถเล่นได้อย่างคล่องแคล่ว
ลู่เสวี่ยนอี้คิดจะทำให้เธอลำบากใจด้วยวิธีการเล่นเปียโน แต่นั้นมันคือการคิดเพ้อเจ้อ ว่าตลอดชั่วชีวิตนี้ไม่มีทางเป็นไปได้
แต่สำหรับเจียงหยู่ เขามีเงินมากขนาดนั้น ความจริงแล้วควรจะให้ของขวัญราคาแพงเป็นรางวัลมากกว่า เพื่อเอาใจหวาเหวิน
แต่เขาไม่มี เขาเพียงแค่ซื้อดอกไม้สดมาหนึ่งช่อ ชีวิตก็ต้องการความรู้สึกแบบบอกความในใจบ้าง
ส่วนการบอกความในใจไม่ใช่สิ่งที่ใช้เงินทองมากมายเพื่อมาแลกเปลี่ยน
สำหรับนิสัยของหวาเหวิน ถือว่าเจียงหยู่เข้าใจอย่างลึกซึ้งมากทีเดียว
ดอกไม้ช่อนี้ ถูกหวาเหวินอุ้มกลับเข้าไปในห้องนอน แล้ววางไว้จนเวลาผ่านไปเนิ่นนาน จนกระทั่งเหี่ยวเฉาจึงได้นำไปทิ้ง
“ความจริงแล้วฉันแค่แสดงความสามารถเป็นปกติเท่านั้น”
หลังจากอัดอั้นตันใจมานานกว่าครึ่งค่อนวัน ประโยคที่อัดอั้นตันใจนี้ของหวาเหวิน เป็นท่าทางที่น่ารักเอามาก ๆ
เด็กผู้หญิงที่เพิ่งจะอายุแค่ 22 ปีมีความเขินอายและน่ารักใสๆ
จนเจียงหยู่เกือบที่จะยื่นมือออกไป แล้วบีบแก้มชมพูของเธอ
“ถ้ามีโอกาสฉันอยากจะเล่นเปียโนคู่กับภรรยาเจียงสักครั้งเหมือนกันนะ” เขายิ้ม
หวาเหวินเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นแววตาที่ฉายแววระยิบระยับออกมา
“ได้สิ เล่นได้ตลอดเวลาเลย”
หลังจากที่เข้าเรียนไปได้อีกหนึ่งอาทิตย์ หวาเหวินก็เริ่มปรับตัวให้เข้ากับคาบเรียนของมหาวิทยาลัย
เธอเองก็ไม่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัยตลอด ไปแค่ตอนเช้า เลิกเรียนก็กลับบ้าน
ชุนเถาขับรถไปรับเธอตรงประตูข้าง ส่วนเธอก็แบ่งเวลาครึ่งหนึ่งไปอ่านหนึ่งในห้องสมุด ส่วนอีกครึ่งหนึ่งไปฟังอาจารย์เล่าเรื่องประวัติศาสตร์
วันร่วงเลยผ่านไปอย่างเต็มอิ่ม
พริบตาเดียวก็มาถึงวันศุกร์แล้ว ในช่วงเวลาพลบค่ำ เจียงหยู่ขับรถมารับเธอ
แล้วยังเตรียมตัวเสื้อผ้าค่อนไปทางสไตล์ผู้ใหญ่ให้กับเธออีกด้วย
บอกว่าเธอจะต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงการกุศลส่วนตัวกับเขา
เพราะคำว่าส่วนตัว ดังนั้นจึงไม่เชิญนักข่าวมาแต่อย่างใด ดังนั้นจึงไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะมีภาพหลุดอะไรออกไป
หวาเหวินเปลี่ยนชุดราตรีที่เจียงหยู่เตรียมไว้ให้ เป็นชุดราตรีสีบัวชมพู ดูมีเอกลักษณ์ตามประเพณี ไม่เปิดไหล่ไม่เปิดหลัง ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
แต่การเข้าร่วมงานเลี้ยงแบบนี้ถือว่าเหมาะสมมากแล้ว
เมื่อลงจากรถ เจียงหยู่ก็เปิดประตูให้กับหวาเหวินอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ควงมือของเขาเบา ๆ
ความร้อนบนฝ่ามือได้กระจายออกไปยังมือเล็กที่เย็นเฉียบของเธอในชั่วพริบตาเดียว มันเป็นความรู้สึกที่น่ามหัศจรรย์มากทีเดียว
“คืนนี้บริษัทของพวกเราได้บริจาคเงินจำนวน 30 ล้านหยวนให้กับเด็ก ๆ ที่สูญเสียการได้ยินมาตั้งแต่กำเนิดเหล่านั้นเพื่อช่วยซื้ออุปกรณ์เสริมการได้ยินของพวกเขา”
หวาเหวินพยักหน้า
“เจ้าภาพในครั้งนี้คือตระกูลหวาง จูนเสี่ยนเป็นคนจัดการ เขาทำเพื่อคนที่ลำบากมาก ๆ การทำความดีของเขาจึงไม่อยากให้นักข่าวประกาศออกไป ดังนั้นจึงไม่ได้เชิญนักข่าวจากสำนักไหนมาเลยสักแห่ง เธอวางใจได้ ไม่มีคนแอบถ่ายเธออย่างแน่นอน นี่คืองานการกุศลแบบส่วนตัว”
“ค่ะ”
เมื่อทั้งสองเดินเข้างานไป นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับแซ่จื๋อจ้วนศัตรูที่ไม่อยากจะเจอแต่กลับต้องมาเจออย่างง่ายดายคนนี้
แซ่จื๋อจ้วนเองก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าหวาเหวินจะมางานนี้ด้วย
เขาคิดว่านิสัยอย่างหวาเหวิน คงไม่ชอบมายังสถานที่แบบนี้อย่างแน่นอน
เขาตามพี่สะใภ้ของพี่ชายมาด้วย เพราะตระกูลหวางก็ได้เชิญตระกูลแซ่มาเช่นเดียวกัน
ตระกูลแซ่เองก็บริจาคเงินเช่นเดียวกัน ทุกคนมาพบเจอหน้าด้วยความรู้สึกเกรงอกเกรงใจต่อกัน
ดังนั้นเมื่อแซ่จื๋อจ้วนเห็นหวาเหวินก็มางานนี้ด้วย จึงได้พุ่งตัวเข้ามาโดนไม่แคร์ภาพลักษณ์แต่อย่างใดทันที
“เหวินเหวิน เธอมาด้วยเหรอ?”
หวาเหวินมองไปทางเขา ด้วยสายตาเย็นชา แล้วพยักหน้า โดยไม่พูดอะไร
“ชุดในคืนนี้ของเธอ….ค่อนข้างดูแบบ…ไม่เหมือนกับสไตล์เธอเลยอ่า?” แซ่จื๋อจ้วนลูบคาง แล้วพิจารณาชุดราตรีของหวาเหวินอย่างละเอียด