ลิขิตรักส่งฉันมาเป็นคู่เธอ - ตอนที่ 123
ตอนที่ 123 การเผชิญหน้ากับการใส่ร้ายป้ายสี
หวาเหวินยิ้มออกมาเล็กน้อย “ลำบากใจ? ไม่ ไม่เลยสักนิด ไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้น เหมือนกับว่าพวกเขาพูดถึงความแตกต่างระหว่างฉันกับคน ๆ นั้นมากกว่า”
เมื่อเจียงหยู่ได้ยินเขาก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
สาวน้อยของเขาคนนี้ไม่ใช่ปุถุชนธรรมดาเลยจริง ๆ
ถึงแม้ว่าจะเพิ่งอายุ 22 ปีก็ตาม แต่โตเป็นผู้ใหญ่กว่าวัยมากทีเดียว
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เธอมองได้ละเอียดกว่าผู้ใหญ่เสียอีก
หวาเหวินคิดง่าย ๆ แค่ว่าเธออยากไปเรียน เพราะเธอสนใจในวิชาประวัติศาสตร์
ความจริงแล้วคนในรั้วมหาวิทยาลัยเหล่านี้ก็ไม่ได้มีระดับเดียวกับเธอ
ไม่จำเป็นต้องไปถกเถียงกับผู้ที่มีอายุน้อยกว่าแต่อย่างใด สำหรับพวกเขาจะพูดยังไงนั้น? ก็แล้วแต่ ถึงอย่างไรเธอก็ไม่ใช่ดารา ไม่ได้กินพวกคำสรรเสริญและพวกคำวิพากษ์วิจารณ์เป็นอาหาร
“นี่มันไม่ใช่ทางกลับบ้านนี่”
เมื่อเห็นเส้นทางไม่ถูกต้อง หวาเหวินก็หันไปมองผู้ชายที่รับหน้าที่เป็นคนขับทันที
เขากลับมาจากบริษัท ก็ถอดเสื้อตัวนอกไว้เบาะหลัง
ส่วนบนตัวก็ใส่แค่เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวหนึ่ง แขนเสื้อติดกระดุมเพชร ยังคงดูหรูหราในรูปแบบของโลคลาสไม่น้อย
“อื้อ ฉันตั้งใจจะพาเธอไปสถานที่หนึ่ง” เขาพูดขึ้น
ดูท่าแล้วเขาคงจะไม่ยอมบอกว่าจะพาไปที่ไหนตรง ๆ อย่างแน่นอน ท่าทางลึกลับซะจริง
หวาเหวินส่งเสียงอือออกมา แล้วถามเขาว่า “ฉันมีเรื่องอยากรู้มากอย่างหนึ่ง สถานะอย่างนายจะมาขับรถเองทำไม?”
เพราะหวาเหวินค้นพบว่า เจียงหยู่นั้นจะเป็นคนขับรถเองน้อยมาก เว้นเสียแต่จะเมาเท่านั้น
ถึงอย่างไรเวลาขับเอง ทรงของเขาก็ไม่เหมือนกับสไตล์ของเถ้าแก่ใหญ่เลยสักนิด
มือของเจียงหยู่จับพวงมาลัยอย่างมั่นคง สายตามองไปข้างหน้า ก่อนจะตอบคำถามอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “เพราะฉันไม่ค่อยชอบเอาความปลอดภัยในชีวิตตัวเองฝากไว้กับคนอื่น”
เมื่อหวาเหวินได้ยินก็ยิ้มออกมาทันใด
“ยิ้มอะไร?”
“รอบคอบแบบนี้ มักเป็นคนที่คิดทำการใหญ่”
“ขอบคุณสำหรับคำชมจากภรรยาเจียง” เจียงหยู่ยิ้ม
ทุกครั้งที่เจียงหยู่เรียกเธอว่าภรรยาเจียง หวาเหวินก็มักจะเขินอายขึ้นมาในทันที
เมื่อขับรถเคลื่อนไปได้ราว ๆ ครึ่งชั่วโมง ในที่สุดทั้งสองคนก็มาถึงร้านอาหารเรียบง่ายและโบราณแห่งหนึ่ง
หลังจากที่เจียงหยู่ขับรถไปจอดเรียบร้อยแล้ว ก็ได้พาหวาเหวินเดินเข้าไป
หวาเหวินมองไปรอบ ๆ ทิศทาง แล้วก็ค้นพบว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ใหญ่มากนัก แต่สะอาดเอี่ยมอ่องมากทีเดียว
มีการจัดตกแต่งคล้ายๆ กับร้านกาแฟเล็กน้อย ใช้สีขาวและสีพื้นไม้เป็นหลัก โต๊ะอาหารก็ใช้โต๊ะไม้ตัวยาวที่มักใช้ในห้องสมุด
บนโต๊ะยังมีกระถางต้นไม้ขนาดเล็กวางเรียงรายกันหลากหลายชนิด ส่วนบนกำแพงทั้งสองด้านก็ประดับตกแต่งด้วยจิตรกรรมฝาผนังที่ไร้นามธรรม
พืชพรรณสีเขียวดุจหยกก็ได้ห้อยระโยงระยางอยู่บนหลังคาเป็นจำนวนมาก
เมื่อเดินเข้ามาได้ไม่นาน หวาเหวินก็สังเกตเห็นป้ายตรงหน้าประตูเขียนชื่อร้านแห่งนี้ไว้ว่า —— เมาหิมะ
เป็นชื่อที่งดงามเหมือนอยู่ในบทกวี และหวาเหวินเองก็ชอบมากด้วย
“ประธานเจียงคะ”
ผู้หญิงประจำเคาน์เตอร์อายุราว ๆ 40 กว่าปี ดูโดดเด่นและทรงเสน่ห์มากคนหนึ่ง
เธอสวมใส่ชุดสูทสไตล์เกาหลีสีข้าว ได้เผยรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้า
“อื้อ ฉันพาภรรยาของฉันมาทานข้าว”
“ได้คะ เชิญนั่งก่อนนะคะ”
ชั่วครู่ก็มีพนักงานนำเมนูอาหารมาให้
ชื่อรายการอาหารที่หวาเหวินเห็นนั้นช่างดูน่าสนใจมากทีเดียว
ตัวอย่างเช่นดอกบัวแต้มสีแดง
ตัวอย่างเช่นข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อมาพบคุณ
และก็ตัวอย่างเช่นคนสวยเปรียบเสมือนหยก มีอำนาจเปรียบเสมือนสายรุ้ง สามเขาห้าขุนเขา เป็นต้น
เป็นชื่อที่ดูมีเสน่ห์มากทีเดียว
“อาเหวิน เธอกำลังคิดอะไรอยู่เหรอ? รายการอาหารเป็นต้นตำรับของร้านเลยนะ” เจียงหยู่ถามเธอ
“นอกจากเนื้อแล้ว อย่างอื่นฉันก็กินได้หมด”
“วางใจเถอะ นี่เป็นร้านอาหารมังสวิรัติ สิ่งที่เธออยากกินมันไม่มีหรอก”
แต่นี่กลับทำให้เธอเหนือความคาดหมายมากทีเดียว ถึงอย่างไรร้านอาหารมังสวิรัติก็ไม่ค่อยเป็นที่นิยมของคนทางเหนือสักเท่าไหร่ เพราะคนทางเหนือส่วนใหญ่ชอบกินเนื้อ ชอบกินของคาว
เมื่อเจียงหยู่เห็นรายการอาหาร เขาทำการเลือกตามใจชอบอยู่สองสามอย่าง แล้วก็รินชาหอมหมื่นลี้ให้กับหวาเหวิน 1 แก้ว
เธอยกแก้วขึ้นมาจิบเล็กน้อย จากนั้นก็มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสายราบเรียบ
เจียงหยู่มองไปทางใบหน้าด้านข้างของหวาเหวิน……………..
ก่อนจะพูดอย่างช้า ๆ ขึ้นว่า “เธอมองทิวทัศน์อยู่ในห้อง ส่วนฉันก็มองเธอ”
เมื่อคำพูดที่แสดงออกถึงความรู้สึกอย่างชัดเจนได้ถูกกล่าวออกมา หวาเหวินก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาในทันที เธอก้มหน้าลงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
“อาเหวิน เธอคิดว่ากลอนบทนั้นเป็นยังไงบ้าง?” เจียงหยู่ถามเธอ
หวาเหวินตื่นตกใจเขาไปอีก “เมื่อกี้เป็น……กลอนเหรอ?”