ลิขิตรักส่งฉันมาเป็นคู่เธอ - ตอนที่ 132
ตอนที่ 132 โกรธจนกลายเป็นปลาปักเป้า
หวาเหวินคิดไม่ถึงว่าเจียงหยู่จะเอ่ยคำนี้ออกมา?
เธอทำได้เพียงแค่นั่งลงบนโซฟาหนังด้วยท่าทางแข็งทื่อ และคิดให้เรื่องนี้จบลงโดยเร็ว
“ช่วยอะไร นายพูดมาได้เลย”
หวางเซียวอี้มองไปทางเจียงหยู่ แล้วมองมาทางหวาเหวินอีกครั้ง ด้วยท่าทางเกรงใจ
“ความจริงมันก็เรื่องมีอยู่ว่า คุณย่าของฉันค่อนข้างเข้มงวดมากในช่วงนี้ นั้นก็คือเรื่องการแต่งงานของฉัน หล่อนต้องการให้เด็กที่เป็นญาติห่าง ๆ คนหนึ่งแต่งงานกับฉัน แต่ฉันไม่ชอบเด็กผู้หญิงคนนั้น ฉันเลยบอกว่าฉันมีแฟนแล้ว อีกทั้งยังเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงด้วย คุณย่าของฉันเลยบอกให้ฉันพาผู้หญิงคนนั้นไปทานข้าวที่บ้านในสัปดาห์นี้ ฉันแค่พูดแบบขอไปทีไปเท่านั้น ในตระกูลทั้งสี่ของเรา เจียงหยู่เป็นลูกชายคนเดียว ไม่มีน้องสาวหรือว่าพี่สาว ตระกูลแซ่มีลูกชายสองคน ลูกสาวหนึ่งคน แต่ลูกสาวยังไม่กลับมาจากต่างประเทศ เหลือเพียงแค่ตระกูลหวา เลยคิดว่าในตระกูลของเธอน่าจะยังมีคนที่ยังไม่ได้แต่งงาน เธอพอจะช่วยฉันได้ไหม แค่ทำแบบให้ผ่าน ๆ ไปได้ก่อนเท่านั้น”
ความหมายของหวางเซียวอี้ หวาเหวินเข้าใจเป็นอย่างดี
คุณย่าของหวางเซียวอี้เป็นคนชอบหาเรื่องอย่างไม่มีเหตุผล ต้องการให้หลานชายแต่งงานกับลูกสาวของญาติห่าง ๆ
หวางเซียวอี้ไม่อยากแต่งงาน เลยโกหกไป บอกว่าตัวเองมีแฟนแล้ว และยังอยู่ในตระกูลที่มีชื่อเสียงอีกด้วย
นายหญิงแก่ตระกูลหวางเลยอยากเห็นหลานสะใภ้คนนี้ หวางเซียวอี้คิดจะโน้มน้าว เลยเล็งเป้าหมายมาทางตระกูลหวา
หลังจากที่หวาเหวินฟังจบ ก็ครุ่นคิดอยู่นาน
“แล้วนายคิดว่า พี่สามและพี่สี่ของฉัน ใครเหมาะสมมากกว่ากัน?” หวาเหวินถามเขา
หวางเซียวอี้กลับพูดออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ได้ทั้งนั้น ถึงอย่างไรมันก็เป็นแค่เรื่องโกหก ขอแค่ช่วยฉันในครั้งนี้ได้ก็พอ……….เพราะช่วงนี้ฉันกำลังวุ่น ๆ อยู่กับการเปิดประมูล เลยไม่มีเวลาไปต่อกรกับคุณย่าเท่าไหร่ เธอบีบบังคับฉันจะตายอยู่แล้ว”
“อาเหวิน เราไม่รู้จักพี่สามกับพี่สี่ของเธอหรอก เธอคิดว่ายังไงละ? ใครเหมาะสมมากกว่ากัน?”
เจียงหยู่ถามความคิดเห็นภรรยาของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา
หวาเหวินเองก็ไม่ได้เกรงใจนัก เธอครุ่นคิดอยู่สักพัก “พี่สี่ หวาฟ้านเธอเป็นคนที่เข้าถึงบทบาทได้ แต่เธอเพิ่งจะอกหักไป สภาพจิตใจยังไม่ดีขึ้น อาจจะช่วยนายเรื่องนี้ไม่ได้ ส่วนถ้าเป็นพี่สาม หวาผิงละก็……. เธอเป็นดารามีชื่อเสียง พวกนายเองก็รู้จัก นิสัยของเธอค่อนข้าง…… จะพูดยังไงดีละ มันก็ดีอยู่หรอก แต่นิสัยค่อนข้างเผด็จการเอาแต่ใจมาก เป็นนางราชสีห์อย่างเห็นได้ชัด…… อีกอย่างพวกนายพูดเรื่องนี้กับฉันไปมันก็ไร้ประโยชน์ ต้องไปถามพวกหล่อนว่าจะยอมช่วยไหม?”
“ใช่ ฉันไม่รู้จักพวกหล่อนเลย และก็ไม่กล้าไปหาด้วย ดังนั้นเลยคิดจะมาดึงเธอให้ไปช่วยถามให้หน่อย ได้ไหม?” หวางเซียวอี้คงจะตกอยู่ที่นั่งลำบากจริง ๆ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางเอ่ยปากขอความช่วยเหลือหวาเหวินโดยเด็ดขาด
“ได้มันก็ได้แหละ แต่…… ฉันกลัวว่าจะไม่ได้” หวาเหวินเองก็ไม่กล้ารับปากว่าจะสามารถพูดเกลี้ยกล่อมทั้งสองคนได้
ถึงอย่างไรความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องก็ไม่ได้สนิทกันมากขนาดนั้น
“คุณหนู…….. แฮ่ก แฮ่ก ถึงเวลามาร์คหน้าแล้วค่ะ” หยินซิ่งส่งเสียงไอเตือนออกมาสองสามครั้ง จากนั้นก็ชี้ไปทางนาฬิกา
หวาเหวินเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองยังมีเรื่องใหญ่ที่ต้องทำ
เมื่อมองนาฬิกาข้อมือ ซึ่งตีบอกเวลาว่าเลยไปแล้ว 15 นาที เหลืออีกแค่ 15 นาทีสุดท้าย เธอก็ร้อนใจขึ้นมาในทันที
“งั้นฉันไปมาร์คหน้าก่อนนะ เรื่องของนายเดี๋ยวค่อยกลับมาคุยกันอีกทีนะ?”
“อาเหวิน มาร์คหน้าไม่จำเป็นต้องรีบร้อนขนาดนั้น เซียวอี้มาขอความช่วยเหลือเป็นครั้งแรก เธอลองโทรศัพท์ไม่ก็ส่งวีแชทไปถามหวาฟ้านและหวาผิงก่อนได้ไหม?”
ในตอนนั้นหวาเหวินก็ตัวแข็งทื่อขึ้นมาในทันที
เธอคิดไม่ถึงว่าเจียงหยู่ที่มักจะสังเกตเห็นสีหน้าและคำพูดของหวาเหวินออก วันนี้กลับมองไม่ออกว่าเธอรีบร้อนแค่ไหน อีกทั้งยังหน่วงเหนี่ยวยื้อเวลาของเธออีกด้วย
แน่นอนว่า เธอเองก็ไม่อยากให้เห็นว่าเธอกำลังรีบร้อนแต่อย่างใด
แต่สิ่งที่น่าหงุดหงิดใจยิ่งกว่าก็คือ ในตอนนั้นเจียงหยู่ก้มมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง
เขาก็ได้บ่นพึมพำออกมาประโยคหนึ่งว่า “ไอโย ใกล้ 3 ทุ่มแล้ว อาจารย์ในฝันของฉันใกล้จะถ่ายทอดสดการประเมินวัตถุโบราณแล้ว ฉันอยู่เป็นเพื่อนพวกเธอสองคนไม่ได้แล้วนะ พวกเธอคุยกันไปก่อนนะ”
หวาเหวิน : ………….
ในเวลานี้หวาเหวินรู้สึกโกรธเจียงหยู่ราวกับปลาปักเป้าพองตัวเลยจริง ๆ
เมื่อเห็นเวลาที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ถ้าเกิดไปสาย ชื่อเสียงในอนาคต……….
ภายใต้สถานการณ์ที่รีบร้อนเช่นนี้ หวาเหวินทำได้แค่เพียงหลับตาลง แล้วแสร้งทำเป็นเวียนหัว…….
ชุนเถาและหยินซิ่งอยากจะหัวเราะแทบตาย
“อาเหวิน เธอเป็นอะไร?” เจียงหยู่กลับหน้าถอดสีลงด้วยความตกใจ