ลิขิตรักส่งฉันมาเป็นคู่เธอ - ตอนที่ 171
ตอนที่ 171 หลานสาวออดอ้อน
“หวางเซียวอี้ ไอคนเฮงซวยทั้งบรรพบุรุษโคตรเง้า………”
ประโยคหลังหวางเซียวอี้ไม่ได้ฟังต่อแต่อย่างใด เขากดวางไปทันที
สำหรับคำด่าที่กระทบของหวาผิงนั้น เขาไม่ได้โกรธเธอเลยสักนิด ตรงกันข้ามกับรู้ว่าตัวเองสามารถยั่วยุให้เธอโกรธได้ นั้นถือว่าเป็นความรู้สึกแห่งชัยชนะ
ครึ่งชีวิตก่อนหน้าของหวาผิงล้วนเอาแต่ใจตัวเองมาโดยตลอด มีแต่เธอที่ไปรังแกคนอื่น เธอไม่เคยถูกรังแกเลย
แต่หลังจากที่พบเจอกับหวางเฮงซวยคนนี้ ทุกอย่างมันก็ผิดแปลกไปหมด
แต่มันก็ช่างบังเอิญจริง ๆ ในวันเกิดของหวาผิงในวันนั้น เธอไม่เคยได้ข่าวคราวของพี่ชายที่เป็นรักครั้งแรกของเธอเลยตั้งแต่ไหนแต่ไรมา
เธอไม่รู้ว่าการ์ดใบหน้าถูกส่งมาจากที่ไหน ดังนั้นสภาพจิตใจของหวาผิงจึงไม่ดีเอามาก ๆ และดื่มเหล้าจนเมามายไปในชั่วพริบตาเดียว
หลังจากที่วางสายไป หวาผิงยังคงด่าทอออกไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมง จนกระทั่งเปลือกตาได้ปิดลงและเข้าสู้ห้วงนิทราในที่สุด
เช้าตรู่วันที่สอง
เพราะวันนี้เป็นวันเสาร์ แซ่จื๋อจ้วนจึงได้ไปถึงบริษัทเจ้าปัญหาตั้งแต่เช้า และวนอยู่รอบหนึ่ง
จากนั้นก็เหลือบมองเวลา ซึ่งยังไม่ถึง 8 โมงเช้า
เลยคิดว่าถ้ากลับบ้านไปในเวลานี้ ก็น่าจะทันมื้อเช้าพอดี
หลังจากนั้นเขาก็ขับรถกลับไปบ้านเก่าตระกูลแซ่
และก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ สมาชิกทั้งห้าของบ้านกำลังรับประทานมื้อเช้ากันอยู่
ความจริงแล้วแซ่เฟยโม่ ภรรยาและลูกจะต้องอยู่กันตามลำพัง แต่ต่อมาคุณชายที่สองของตระกูลแซ่เกิดคิดถึงลูกขึ้นมา
และก็มักจะคิดถึงหลานสาวตัวน้อย ก่อนหน้านั้น แซ่เฟยโม่กับภรรยาได้ปรึกษาหารือกันว่าจะกลับมาพักสักช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ในขณะที่สมาชิกทั้งห้ากำลังรับประทานอาหารเข้าอย่างมีความสุขอยู่นั้น
แซ่จื๋อจ้วนก็ได้เดินเข้ามา จากนั้นก็เคลื่อนย้ายเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งตรงหน้าของหลานสาวด้วยความเคยชิน
“คุณอาสอง ตื่นเช้าจังเลยคะ” หลานสาวยิ้มพร้อมกับทักทาย
“หลังจากนี้คุณอาสองของหนูจะขยันแบบนี้ทุกวันเลย”
“จื๋อจ้วนตื่นเช้าขนาดนี้ เพิ่งกลับมาจากไหนเหรอ?” พี่ใหญ่ย่อมเข้าใจเขาเป็นอย่างดี
“ผมไปดูสถานการณ์ของบริษัทซินเซฺ่งมาครับ”
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ แซ่หยานไม่ได้ส่งเสียงใด ๆ ออกมา แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
“พ่อครับ ที่นี่ยังเหลือเวลาอีกนานแค่ไหน? หากธนาคารต้องการชำระหนี้?” แซ่จื๋อจ้วนถามผู้เป็นพ่อขึ้น
แซ่หยานไม่ได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา ก่อนจะตอบกลับไปว่า “น่าจะวันที่ 20 เดือนหน้า แกยังไม่มีความสามารถ ถือโอกาสพูดเร็วขนาดนี้ อย่ามัวเสียเวลาเลย หลีกเลี่ยงการร้องทุกข์ในตอนสุดท้าย”
“พูดแบบนี้ ผมเป็นคนที่ยอมแพ้ง่ายขนาดนั้นเลยใช่ไหมครับ?” แซ่จื๋อจ้วนพูดขึ้น
“ไม่สนใจเอาเงินบริษัท ไม่สนใจความต้องการของพี่ใหญ่ ส่วนเรื่องอื่น ๆ แกลองไปหาเพื่อนเสเพลเกเรของแกสิ ดูสิว่าพวกเขาจะยอมให้แก่กู้เงินสัก 350 ล้าน เพื่อมาซื้อกิจการเจ้าปัญหานั้นไหม”
แซ่หยานดูถูกเพื่อน ๆ เหล่านั้นของลูกชายมาโดยตลอดว่าไม่ใช่คนที่จริงใจ
ตรงกันข้ามในบรรดาวัยรุ่นของทั้งสี่ตระกูลใหญ่ เจียงหยู่ก็ดี หวางเซียวอี้ก็ดี แซ่จื๋อจ้วนกลับไม่เข้าพวกกับคนอื่นเสียงั้น
“พ่อ วางใจเถอะครับ เดิมทีผมเองก็ไม่ได้คิดจะยืมเงินพวกเขาอยู่แล้ว ผมแค่กลับมาทานข้าว พ่ออย่าคิดมากเลยครับ”
ในระหว่างที่พูดแซ่จื๋อจ้วนก็เริ่มก้มหน้าและทานข้าวทันที
“คุณอาสองคะ เดี๋ยวหนูจะต้องไปเรียนวิชาเปียโน คุณอาไปส่งหนูได้ไหมคะ?”
หลานสาวเริ่มออดอ้อน เธอชอบอาสองมาก ไม่รู้ทำไม?
เพราะด้วยความที่พ่อแม่ค่อนข้างเข้มงวด พ่อแม่ไม่ให้เธอออกไปเล่น ไม่ให้เธอได้กินในสิ่งที่เธออยากกิน แต่อาสองให้เธอได้ทุกอย่าง
ดังนั้นแซ่หนิงจึงชอบอาสองผู้มั่งคั่งคนนี้อย่างแซ่จื๋อจ้วนที่สุด เขาเป็นคนใจกว้าง และก็ไม่เคยดุเธออีกด้วย
“หนิงหนิง อาสองมีเวลาที่ไหนละลูก เดี๋ยวแม่ไปส่งเอง” เฝิงหยู่รู้สึกว่าลูกของเธอไม่รู้ความเลยเข้ามาขวาง
“ไม่เอาหน่า พี่สะใภ้ วันนี้ผมไม่มีธุระสำคัญอะไรอยู่แล้ว อีกอย่างผมก็ไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนหนิงหนิงนานแล้วเดี๋ยววันนี้ผมไปส่งเธอเอง จากนั้นผมก็จะรอรับเธอแล้วพาเธอไปเดินเล่นในเมืองด้วย ซื้อของเล่นนิดหน่อย”
“ขอบคุณค่ะคุณอาสอง” แซ่หนิงยิ้มกว้างในทันที
“นายอ่า ให้ท้ายเด็กจนเคยตัว” แซ่เฟยโม่มองไปทางน้องสองอย่างจนปัญญา
“พ่อแม่ต่างก็ให้ท้ายเด็กเหมือนกันแหละครับ ไม่เพียงแค่ผมหรอก ไปกันเถอะ หนิงหนิง ไปขึ้นรถของอาสองกัน” แซ่จื๋อจ้วนกินข้าวได้สองสามคำ จากนั้นก็พาหลานสาวตัวน้อยออกไปทันที
“เสี่ยวหยู่ เธอจับตาดูอยู่ข้างกายน่าจะเหมาะสมกว่า ยิ่งยังไม่แต่งงาน ก็ยิ่งยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ ฉันตั้งใจจะขัดเหลาให้เขาโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่ได้ให้เอ้อระเหยไปวัน ๆ แบบนี้” คุณนายแซ่มองไปทางเธอ ด้วยความกระวนกระวายใจ