ลิขิตรักส่งฉันมาเป็นคู่เธอ - ตอนที่ 241
ตอนที่ 241 ปากอย่างใจอย่าง
แซ่เฟยโม่ได้ยินน้องชายพูดแบบนี้ ก็รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องขึ้นมาฉับพลัน
“งั้นก็ได้ เดี๋ยวฉันติดต่อบอดี้การ์ดและผู้ดูแลที่ดูแลหยาวหยาวอยู่ทางนั้น จะถาม ๆ พวกเขาดูอีกที”
เมื่อแบบนี้ สองพี่น้องก็เริ่มหาเบาะแสของแซ่หลิงตลอดครึ่งค่อนคืน
ตลอดจนใกล้รุ่งสาง ก็ได้ข่าวกลับมา บอกว่าแซ่หลิงขาดทิ้งการสอบไปเมื่อครึ่งเดือนก่อน เพื่อไปเนปาลกับเพื่อนร่วมห้องผู้หญิงคนหนึ่ง
จากนั้นก็ทำการค้นหาข้อมูลการเข้าประเทศของแซ่หลิงในบันทึกการเข้าออกของประเทศ จนกระทั่งพิสูจน์ได้ว่าเธอนั้นอยู่ในเนปาลจริง ๆ
แต่ที่ประเทศเนปาลค่อนข้างล้าหลังมาก มักจะตัดน้ำตัดไฟ รวมทั้งตัดสัญญาณการสื่อสารอยู่บ่อยครั้ง เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวเล็ก ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยสรุปแล้ว แซ่ตงหยาวก็ยังไม่สามารถติดต่อไปได้
แซ่หยานได้ยินก็โมโหโทโสแผดเสียงขึ้นมาทันที แต่ก็ยังใจอ่อนส่งคนไปตามหาลูกสาวที่ประเทศเนปาล
แซ่จื๋อจ้วนเองก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เพราะครั้งนี้น้องสาวได้ทิ้งการสอบไปจริง ๆ คาดว่าน่าจะมีเรื่องอะไรบางอย่างในใจ
ไม่อย่างนั้นนิสัยมองโลกในแง่ดีของเธอไม่มีทางทิ้งการสอบไปกลางคันอย่างแน่นอน
ในเขตพื้นที่ที่กำลังพัฒนาของเมืองเจียง
ป๋ายห้าวกำลังจะไปทานข้าวที่โรงอาหารช่วงพักเที่ยง ซึ่งบังเอิญก็พบกับหวาฟ้านที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ที่ประตูตั้งแต่เมื่อไหร่พอดี
เธอแต่งกายด้วยเสื้อขนสัตว์สีเขียวอ่อน ด้านล่างเป็นกระโปรงสั้นสีสดใส ในมือถือกระเป๋าสีม่วงใบหนึ่ง เธอแต่งกายได้ดูมีการศึกษาและถูกต้องตามวัฒนธรรมมากทีเดียว
“ไปกินข้าวด้วยกันไหม”
เมื่อเห็นป๋ายห้าว หวาฟ้านก็พูดขึ้นทันที
“เอาสิ”
หลังจากนั้นป๋ายห้าวและหวาฟ้านเดินเข้ามาในร้านอาหารใกล้ ๆ กับสถานีตำรวจแห่งหนึ่ง ทั้งสองคนสั่งอาหารเนื้อสัตว์หรือจานผัก 1 จานและก็ซุป 1 ถ้วย ง่าย ๆ
ป๋ายห้าวแอบมองไปทางหวาฟ้าน เมื่อเห็นว่าเธอกำลังก้มหน้ารับประทานอาหารโดยไม่พูดอะไร ตัวเองก็เลยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
หลังจากที่เงียบมาตลอด 1-2 นาที หวาฟ้านก็ได้เงยหน้าขึ้นมามองป๋ายห้าว
“มีอาจารย์ที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ บอกชอบฉัน” เธอพูดขึ้น
ป๋ายห้าวตื่นตกใจไม่น้อย จากนั้นก็ยิ้มด้วยความลำบากใจออกมา “อ่า จริงเหรอ? งั้นก็ดีน่ะสิ”
“อื้อ อาจารย์ฉาาย เรียนจบสูง มีมนุษยสัมพันธ์กับผู้อื่น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเขามีความกล้าหาญชาญชัยมาก ฉันปฏิเสธไปหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยโกรธฉันเลยนะ ยังคงปฏิบัติกับฉันเหมือนเดิม ดีกว่าบางคนที่ชอบหนีซะอีก นายว่าไหม?”
หวาฟ้านมีคำพูดที่อยากจะพูด ทุกอย่างที่อยู่ในใจ ป๋ายห้าวเองก็รู้ว่าเธอหมายความว่าอย่างไร
ป๋ายห้าวก้มหน้าลง และตักโจ๊กเข้าปาก 2-3 คำ
“ ในเมื่อมันดีขนาดนี้ งั้นเธอก็น่าจะพิจารณาดูสักหน่อยนะ” น้ำเสียงของป๋ายห้าวไม่ดังมากนัก แต่ทำให้คนสองคนได้ยินอย่างชัดเจน
เมื่อหวาฟ้านได้ยินเขาพูดแบบนี้ ก็โกรธกระฟัดเฟียดขึ้นมาทันที
จนกระทั่งนำตะเกียบทุบลงลงบนโต๊ะ ก่อนจะจ้องไปทางป๋ายห้าว
“ป๋ายห้าวฉันคิดไม่ถึงเลยว่าตำรวจแบบนาย จะขี้ขลาดตาขาวแบบนี้?”
ป๋ายห้าวเงียบไม่พูดอะไร…..
“เรื่องความรักคนเรามันต้องกล้ากันหน่อยไม่ใช่เหรอ? ที่ฉันมาวันนี้ ก็เพื่อจะถามนายว่า ถ้านายยังอยากให้ความสัมพันธ์ของเราเดินหน้าต่อ ฉันยอมที่จะแตกหักกับครอบครัว ฉันเอง……..”
เมื่อคืนหวาฟ้านนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน และเอาแต่คิดเรื่องนี้อยู่นานมาก
แต่อาจเป็นเพราะได้เห็นคำชี้แนะ ซึ่งเขียนเอาไว้ว่า ——ชีวิตคนเรานั้นสั้นมาก ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวเพื่อนหรือว่าคนรัก ต่างก็ต้องดูแลทะนุถนอมกันและกันให้ดี ถึงอย่างไรในชาติหน้าเราก็อาจจะไม่ได้เจอกันอีกก็เป็นได้
ตอนนั้นเมื่อหวาฟ้านเห็นบทความนี้ก็รู้สึกเสียใจอย่างมาก เธอรู้สึกว่าถ้ายังไม่มีเหตุผลอะไรต่อไป ก็ต้องปล่อยเวลาต่อไปอย่างไร้ความหมาย
ตั้งแต่ที่เห็นป๋ายห้าวแอบใส่เงินในกระเป๋าของตัวเอง แค่นั้นก็ดูออกแล้วว่าเขายังมีเยื่อใยต่อกันอยู่
ดังนั้นหวาฟ้านเลยอยากมาหาเขาและพูดเรื่องนี้กับเขา ว่าเธอนั้นอึดอัดมากแค่ไหน หลังจากนี้จะไม่สามารถกลับไปยังตระกูลหวาได้ ต่อให้ต้องทะเลาะกับพ่อและแม่ เธอก็ขอกล้าเพื่อความรักสักครั้ง
แต่ ป๋ายห้าว ก็ไม่ให้โอกาสให้เธอพูดเรื่องเหล่านี้จบ บางทีป๋ายห้าวอาจจะรู้ก็ได้ว่าเธอต้องการพูดอะไร
“เสี่ยวฟ้านเราสองคน…..มันผ่านไปนานแล้ว เธอน่าจะปล่อยวางลง…..”
หวาฟ้าน : …….
“ในเมื่อมีคนตามจีบเธอแล้ว เธอก็น่าจะสนใจสักหน่อยนะ เริ่มเปิดใจกับความรักครั้งใหม่เถอะ…. ขอให้เธอมีความสุข” พูดจบ ป๋ายห้าวก็ยืนขึ้น แล้วหยิบธนบัตร 200 ออกมาวางบนโต๊ะจากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป
หวาฟ้านรู้สึกใจวูบลงตาตุ่มในชั่วพริบตาเดียว เธอหันหน้าไปตะโกนใส่ ป๋ายห้าว “ป๋ายห้าว ไอ้คนปากอย่างใจอย่าง ฉันไม่สนใจนายแล้ว”