ลิขิตรักส่งฉันมาเป็นคู่เธอ - ตอนที่ 259
ตอนที่ 259 อับอาย
หวางเซียวอี้ไม่โกรธ ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองนั้นชอบมองท่าทางโกรธฟืนเป็นไฟของหวาผิง
ท่าทางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟของหวาผิง ในสายตาของเขา น่ารักไม่มีที่สิ้นสุด เพียงแต่ …….. ก็แฝงไปด้วยอันตรายเล็กน้อย
“เธอจะทำอะไร?” หวางเซียวอี้แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ
“เสแสร้ง เสแสร้งต่อไปเหอะ”
“ฉันไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้ เพราะเรื่องที่ฉันพูดวันนั้น ว่าอยากนอนกับเธอนะเหรอ?”
หวาผิงหน้าแดงขึ้นมาทันที …….. เรื่องในวันนั้น ถ้าเขาไม่พูด เธอก็น่าจะลืมไปแล้ว?
หวางเซียวอี้เอนกายพิงพนักโซฟา สอดมือทั้งสองข้างไว้ใต้ท้ายทอย ก่อนจะผิวปากอย่างสบายอารมณ์
“แต่ฉันว่าน่าจะนอนหลับไม่เต็มอิ่มมากกว่า? เธอโกรธอะไร?”
“หวางเซียวอี้ นายหยุดเสแสร้งกับฉันได้แล้ว ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้”
“อ่า? ยังมีเรื่องอื่นอีกเหรอ?”
หวาผิงโกรธจนหน้าดำคร่ำเครียด “ถ้าวันนี้ฉันไม่บังเอิญไปเห็นข่าวเศรษฐกิจการคลังเข้าละก็ ก็คงจะยังไม่รู้ว่าไอโครงการเซ็งกระบวยอะไรนั้นของนายเสร็จสิ้นลงแล้ว”
“แล้ว?” หวางเซียวอี้ยักคิ้วขึ้นสูง
“แล้ว ทำไมนายถึงไม่บอกฉันให้เร็วกว่านี้? นายบอกว่ารอให้โครงการของนายเสร็จลงก่อน ก็ไม่ต้องแกล้งเป็นแฟนกันอีก เพราะนายกลัวว่าคุณย่าจะสร้างผลกระทบให้กับขั้นตอนการทำงานของนาย นายจึงมาขอความช่วยเหลือจากฉัน แต่พอโครงการของนายเสร็จแล้ว นายก็ยังมาหลอกให้ฉันไปกินข้าวบ้านนาย นายไม่รังเกียจใจบ้างเหรอ?”
หวาผิงรู้สึกว่าตัวเองนั้นถูกปั่นหัว ถูกหลอก
หลายปีมานี้ ยังไม่มีใครกล้าทำแบบนี้กับเธอมาก่อนเลย ดังนั้นเธอย่อมรับไม่ได้อย่างแน่นอน
จะว่าไปตบหน้าเมื่อกี้นี้ยังน้อยไป
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนตระกูลหวางละก็ ป่านี้คงถูกเท้าเตะผ่าหน้าจนกลายเป็นขันทีไปแล้ว
เมื่อหวางเซียวอี้ยังได้ยิน เขาก็แกล้งทำเป็นตกใจตาตื่นขึ้นมาทันที “อ่า……เรื่องนั้น? ฉันนึกออกแล้ว เสร็จแล้วละ ฉันยังไม่ได้บอกเธอเหรอ? สงสัยงานเยอะเกินไปจนลืมบอกเลย ……อีกอย่างเธอมากินข้าวบ้านของฉัน ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรนี่หน่า เธอไม่เห็นจะต้องโกรธอะไรขนาดนั้นด้วยนี่?”
“นาย……ยังกล้าพูดว่าฉันไม่เสียหายอีกเหรอ? ตอนกินข้าว นายลวนลามฉันเพราะฉันไม่กล้าโวยวาย นายเอาเปรียบฉันไปตั้งเท่าไหร่? จับฉันไปตั้งกี่ครั้ง? ” เรื่องนี้ หวาผิงรู้สึกคับอกคับใจ ที่ถูกเจ้าหมอนี้เอาเปรียบเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“แล้วเธอคิดจะทำอะไร? หรือว่า …….. เธอก็อยากจะลวนลามฉันเหมือนกัน ? ถือว่าเราเจ้ากัน?”
ตอนที่หวางเซียวอี้ถามคำถามนี้ มุมปากกระตุกยิ้มขึ้นมาอย่างชั่วร้าย
เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจ? หวาผิงจะมองไม่ออกได้ยังไง?
และก็เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ หวาผิงถูกยั่วโมโห และระเบิดออกมาอีกครั้ง จนกระทั่งพุ่งเข้ามาหาหวางเซียวอี้ทันที
หลังจากที่ยกเท้าขึ้นมาได้ไม่นาน ก็ถูกเขาหนีบเอาไว้ และล็อกเอาไม้จนขยับเขยื้อนไม่ได้
เธอพยายามออกแรงดึง แต่สุดท้ายหวาผิงก็ล้มลงไปในอ้อมกอดของหวางเซียวอี้ อากัปกิริยานั้น…..มันช่างสยิวกิ้วมากจริง ๆ
แล้วที่แย่ที่สุดก็คือ หวางเซียวอี้ก็ดันมีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ
ส่วนที่ไวต่อความรู้สึก ก็ได้เด้งขึ้นมาอย่างฉับพลัน
หวาผิงนั่งอยู่บนขาของเขา ย่อมรู้สึกได้ถึงปฏิกิริยานี้อย่างแน่นอน หลังจากนั้น ใบหน้าของเธอก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันใด
“หวางเซียวอี้ นายมันหน้าไม่อาย”
“ไม่เอาน่า นี่มันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกาย อย่ามาโทษฉันสิ…….ต่อให้เป็นแม่เสือได้ล้มลงมาในอ้อมกอดของฉัน ฉันก็ต้องแข็งเป็นธรรมดา เธอไม่เชื่อเหรอ?”
หวางเซียวอี้พูดพึมพำออกมาเบา ๆ โดยไม่มีท่าทางเหนียมอายเลยสักนิดเดียว
หวาผิงอยากจะฆ่าเขาให้ตาย แต่มือทั้งสองกับถูกจับเอาไว้แน่น เหมือนดั่งคำที่ว่าผู้เก่งกาจขาดแหล่งสำแดงกำลัง
เมื่อเห็นหวาผิงมีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้ หวางเซียวอี้ก็ยิ่งดีใจมากขึ้นไปอีก เขากระซิบข้างหูของเธอว่า “เธอจะกังวลทำไม? ทำเหมือนกับว่าไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนอย่างนั้นแหละ?”
เมื่อหวาผิงได้ยินก็ทั้งอาบและโกรธขึ้นมาทันที จากนั้นก็ดิ้นพล่านอย่างสุดกำลัง
จริง ๆ แล้ว ที่หวางเซียวอี้พูดก็ถูก ต่อให้หวาผิงอายุ 28 ปี หรือว่า 30 ปีก็เท่านั้น
แต่ประสบการณ์ด้านความรักของเธอยังคงเหมือนกับเด็กอนุบาลอย่างมาก และก็ยังไม่เคยเริ่มมันด้วยซ้ำ ดังนั้นถึงแม้ว่าหวาผิงจะมีกระแสในวงการบันเทิงก็ตาม มันก็จบไปแล้ว
“หวางเซียวอี้ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ไม่อย่างนั้นแม่จะตอนนายให้ขาดสะบั้นเลย…….” หวาผิงโพล่งคำหยาบคายออกมา