ลิขิตรักส่งฉันมาเป็นคู่เธอ - ตอนที่ 260
ตอนที่ 260 น่าเกลียด
“ขู่ฉันเหรอ? ฉันไม่กลัวคำขู่หรอกนะ เธอก็พูดให้มันน้อยลงและหยุดดิ้นได้แล้ว …..ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่รู้จริง ๆ นะว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น”
เมื่อได้ยินหวางเซียวอี้พูดแบบนี้ หวาผิงก็อึ้งงันไปทันที
ที่แท้ไอตาคนที่ดูเหมือนเหงาหงอยคนนี้ ก็เป็นคนที่โหดร้ายเผด็จการแบบนี้นี่เอง
เมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่น่าฟัง ถึงแม้ว่าเธอจะแกร่งมากแค่ไหนก็ตาม แต่เธอก็หมดหนทางแล้วจริง ๆ
ถ้าของบางอย่างได้สูญเสียไปแล้ว ก็หมดหนทางที่จะดึงกลับมาสภาพเดิม
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ศักยภาพของตระกูลหวาไม่ได้เท่ากับตระกูลหวาง ตำรวจไม่มีทางยื่นมือเข้ามาแทรกแน่นอน เพราะนี่เป็นส่วนตัวระหว่างคนรวยกับคนรวย
ดีไม่ดี อาจจะแต่งงานกันในที่สุดก็ได้……….
ระหว่างที่กำลังคิดไปไกลอยู่นั้น หวาผิงได้ถูกหวางเซียวอี้ขู่จนไม่กล้าขยับเขยื้อนตัวไปไหน….
ดังนั้น ถึงแม้ว่าครั้งนี้เธอจะบุกเข้ามาคิดบัญชีอย่างดุดันก็ตาม แต่กลับกลายเป็นแพะเข้าปากเสือเสียอย่างนั้น
ถึงเธอจะตบหน้าเจ้าตัวไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ถูกแซ่หวางเอาเปรียบอยู่ดี ไม่รู้ว่าใครที่จะเป็นฝ่ายได้เปรียบกันแน่?
ช่วงบ่ายหวาเหวินได้เดินทางไปหาดอกเตอร์ศัลยแพทย์กับเจียงหยู่ สุดท้ายก็นำผลตรวจล่าสุดไปพูดคุยกับหมอคนอื่น ๆ อีกที
จุดดำ ๆ เหล่านั้นไม่มีใครที่จะกล้ารับประกันได้เลย ถ้าเป็นการอักเสบ ก็ต้องเจาะหน้าท้องเพื่อทำการทดสอบ แต่การเจาะหน้าท้องนั้นย่อมมีความเสี่ยงอย่างแน่นอน
สุดท้าย หลังจากที่หวาเหวินและเจียงหยู่ได้ทำการปรึกษาหารือกันแล้ว ก็ตัดสินใจบอกคนที่บ้าน
หลังจากที่พ่อกับแม่ของหวาฟ้านรู้เรื่องนี้ ก็ถึงกับตกใจอย่างมากทีเดียว จากนั้นก็รู้สึกเสียใจ และหลังจากนั้นก็ทำการเรียกทุกคนมาปรึกษาหารือกัน
หวาซวง หวาหรุง หวาผิง หวาเหวิน สี่พี่น้อง
สามีของหวาซวงและหวาหรุงไม่มีสิทธิ์ในการออกเสียงใด ๆ ทั้งสิ้น ด้วยความที่ตระกูลหวาไม่ได้ให้ความสำคัญ จึงไม่ได้มาปรากฏตัว ณ ที่แห่งนี้
ส่วนเจียงหยู่ก็อยู่เป็นเพื่อนหวาเหวินเท่านั้น อีกทั้งเป็นเพราะสถานะของเจียงหยู่ คนในตระกูลหวาจึงให้ความสำคัญ
หวาเจิ้นเยว่ทอดถอนใจออกมาเล็กน้อย “เรื่องนี้มันเกิดขึ้นกะทันหันมาก พ่อกับแม่ของแกก็ไม่มีความเห็นใด ๆ ทุกคนคิดว่าเราควรทำยังไงดี? ยิ่งคนเยอะก็ยิ่งมีหลายความคิด”
หลังจากที่หวาซวงและหวาหรุงมองหน้ากัน ก็ไม่มีใครเอ่ยคำใดออกมาอีก
กลับเป็นหวาผิงเท่านั้นที่เป็นคนตรงไปตรงมา และดูจะสบาย ๆ แต่ไหนแต่ไรมา
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดว่า “มันกะทันหันเกินไป แต่ตอนนี้เราก็ยังไม่รู้ว่าชัดว่าเป็นมะเร็งปอดรึเปล่า พวกเราอย่าเพิ่งเศร้าไปก่อนเลยมาช่วยเฝ้าสังเกตการณ์กันดีกว่า ฉันแนะนำให้เจาะช่องท้อง ถึงมันจะอันตราย แต่พวกเราก็จะได้รู้ว่าเป็นโรคอะไรกันแน่ แทนที่จะอยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไรเลย”
“น้องสามพูดถูก ฉันเองก็เห็นด้วย” พี่ใหญ่หวาซวงพูดขึ้น
“เจียงหยู่ นายมีความคิดเห็นอะไรไหม?” หวาเจิ้นเยว่มองไปทางลูกเขย
“ผมคิดเหมือนกับหวาผิงครับ เราจะต้องทำการเจาะหน้าท้องให้เร็วที่สุด ดูท่าจุดดำ ๆ เหล่านั้นจะไม่ใช่การอักเสบธรรมดาแล้วครับ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางที่ไข้จะขึ้นสูงไม่ลดแบบนี้” ก่อนหน้านั้นเจียงหยู่และหวาเหวินได้ทำการพูดคุยกับดอกเตอร์ศัลยแพทย์มาแล้ว ทุกคนก็เห็นด้วยกับวิธีการนี้
“งั้นหลังเจาะแล้ว มะเร็งลุกลามเร็วยิ่งขึ้นละ? น้องสี่ก็จะตายเร็วขึ้นไม่ใช่เหรอ?” ประโยคนี้เป็นของหวาหรุง ลูกสาวคนที่สอง
คุณนายหวาปาดน้ำตา “ใช่ แม่เป็นห่วงเรื่องนี้มากที่สุด ทำยังไงดี?”
“สำหรับฉัน ฉันว่าอย่าเพิ่งทำดีกว่า ทุกคนอย่าบอกเธอสิ ก็อาจจะมีชีวิตได้ไปอีกวัน มันดีกว่าไม่ใช่เหรอ? แต่……..ฉันยังมีอีกหนึ่งคำถาม หลังจากที่น้องสี่ตายไป สมบัติของเธอจะทำยังไง?” หวาหรุงมุ่งเน้นมาทางผลประโยชน์เป็นอันดับแรก ดังนั้นเธอจึงได้พูดแบบนี้ ทุกคนต่างก็เหนือความคาดหมายทั้งสิ้น
แต่หวาเหวินมีความสนิทสนมกับเธอที่สุด ทนรับกับปากคอเราะรายแบบเธอไม่ไหวอีกต่อไป เจ้าตัวยังไม่รู้เลยว่าเป็นโรคอะไร? เธอดันมาคิดเรื่องสมบัติแล้ว?
นี่เป็นพี่น้องกันจริง ๆ ใช่ไหม
ดังนั้นหวาเหวินจึงโมโหขึ้นมาทันที จากนั้นก็จ้องเขม็งไปทางพี่รอง “คนยังไม่ตายมาคิดเรื่องการแบ่งสมบัติแล้ว พี่รองเป็นขอทานกลับชาติมาเกิดเหรอ? กลัวจน สายตาถึงมีแต่เงิน ๆ เนี่ย?”
หวาหรุงตื่นตกขึ้นมาทันที ปกติน้องห้าจะเป็นคนอ่อนโยนตลอด แต่เวลาโกรธขึ้นมา กลับคลุมเครือขึ้นมาซะงั้น
หวาซวงและหวาผิงก็ตื่นตกใจไม่แพ้กัน ………….