ลิขิตรักส่งฉันมาเป็นคู่เธอ - ตอนที่ 264
ตอนที่ 264 จูบที่ไร้เสียง
“เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อนตัดสินใจไป เธอไม่ต้องรีบให้คำตอบฉันก็ได้ ฉันแค่แนะนำสิ่งที่เหมาะสมกับเธอให้เท่านั้น สุดท้ายเธอจะฟังหรือไม่ฟังมันก็เรื่องของเธอ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันหรอก ถ้าเธออยากทำละก็ ฉันติดต่อหมอและโรงพยาบาลศัลยกรรมให้ได้นะ ส่วนเรื่องเงินถ้าไม่พอ ฉันให้เธอยืมได้ เธอไม่ต้องเกรงใจฉันหรอก เพราะเธอเองก็ช่วยฉันหาของเก่ามาตั้งเยอะตั้งแยะ คิดซะว่าเป็นค่าตอบแทนก็แล้วกัน มันยุติธรรมที่สุดแล้ว เธอไม่ได้ติดหนี้อะไรฉันด้วย” บางทีอาจจะกลัวว่าอวู๋ผิงจะต้องแบกรับภาระอยู่ในใจ หวาเหวินจึงรีบพูดเสริมประโยคนี้ขึ้นมา
เธอคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน ก่อนจะเงยหน้าขึ้น “อื้อ ฉันจะลองกลับไปคิดดูนะ ขอบใจเธอมาก เสี่ยวเหวิน ฉันรู้ว่าเธอทำเพื่อฉัน”
ตอนที่กลับจากมหาวิทยาลัยจนมาถึงบ้าน ชุนเถาและหยินซิ่งก็ไม่อยู่แล้ว
คนหนึ่งไปดูแลหวาฟ้านที่โรงพยาบาล ส่วนอีกคนก็ไปจับจ่ายใช้สอยซื้อของใช้ที่จำเป็น
หวาเหวินรู้สึกหิวขึ้นมาอย่างฉับพลัน เลยนึกขึ้นได้ว่าตัวเองนั้นยังไม่ได้กินมื้อเที่ยง ซึ่งเมื่อดูเวลาก็ปาเข้าไปบ่ายโมงแล้ว
เธอกำลังลังเลว่าจะทำเองหรือว่าจะขับรถไปซื้อของกินข้างนอกดี?
เจียงหยู่กลับมาบ้านเช่นเดียวกัน ความจริงแล้วเขาแค่จะกลับมาเอาเอกสารที่ตัวเองลืมเอาไว้บนห้องนอนเท่านั้น
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะเจอหวาเหวินกำลังคิดมื้อเที่ยงอย่างน่าสงสารอยู่
“เหวินเหวิน เธอไม่ได้ไปเรียนเหรอ?”
“ไปแล้ว กลับมาชั่วคราว”
“อ่า แล้วเธอกินอะไรรึยัง?” เขาคิดว่าเธอกินแล้ว ดังนั้นจึงถามตามมารยาทเท่านั้น
หวาเหวินส่ายหน้าอย่างตรงไปตรงมา
เจียงหยู่ตกใจเล็กน้อย “นี่มันบ่ายโมงกว่าแล้วนะ เธอยังไม่กินมื้อเที่ยงเหรอ?”
เธอพยักหน้า
“พระเจ้า ……. ให้ตายเถอะ ……… เธออยากกินอะไร เดี๋ยวฉันทำให้”
“นายทำอาหารเป็นด้วยเหรอ?” หวาเหวินมองไปทางเจียงหยู่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ตั้งแต่ย้ายมาอยู่เฟิงหวาหลี่ เจียงหยู่ก็ไม่เคยเข้าครัวอีกเลย
ปกติแล้วเขาคุ้นเคยกับการมีหยินซิ่งและชุนเถาคอยปรนนิบัติรับใช้ตลอด อีกอย่างสาวใช้ทั้งสองคนมีฝีมือการทำอาหารค่อนข้างดีอยู่แล้ว ไม่ต้องให้พวกเขาลงมือเองแต่อย่างใด
“ดูถูกฉันเหรอ? ตอนฉันเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนอยู่ที่เมืองนอก ก็เคยได้เรียนกับเชฟมิชลินมาก่อนน่า”
เมื่อพูดจบ เจียงหยู่ก็เดินตรงไปยังตู้เย็นทันที
เมื่อเปิดตู้เย็น ก็พบกับเรื่องยุ่งยากเข้าสักแล้ว
ในตู้เย็นว่างไม่มีอะไรเหลือเลยจริง ๆ เพราะช่วงนี้วุ่น ๆ เรื่องของหวาฟ้าน จึงไม่ได้ซื้อกับข้าวเข้าบ้าน ดังนั้นชุนเถาจึงได้ออกไปซื้อจับจ่ายใช้สอยซื้อของข้างนอก
เจียงหยู่เปิดโน้นเปิดนี่อยู่นาน สุดท้ายก็คว้าไข่ไก่มาได้ 2 -3 ฟอง
จากนั้นเขาก็ระดมความคิดอย่างหนัก ในที่สุดก็ใช้ไข่ไก่เหล่านี้มาทำทาร์ตไข่ให้กับหวาเหวิน
ถึงจะบอกว่าแค่ 1 จาน แต่มีทั้งหมด 6 ชิ้น ซึ่งสำหรับหวาเหวินแล้วมันเพียงพอแล้ว
หวาเหวินมองไปทางทาร์ตไข่ที่กำลังร้องระอุและมีสีสันสดใสน่าทาน และนมร้อนที่ตั้งใจทำขึ้นมาเป็นพิเศษ บางอย่างในใจของเธอก็ถูกเติมเต็มในชั่วพริบตาเดียว
จนลืมเรื่องที่คอยเตือนตัวเองไปก่อนหน้านั้นโดยสิ้นเชิง ว่าต้องอยู่ห่าง ๆ ผู้ชายคนนี้ คำเตือนที่ว่าอย่าติดกับความรู้สึกจนเจ็บปวดเองอะไรทำนองนั้น
“รีบกินเถอะ มันยังร้อน ๆ อยู่เลย ฉันจะต้องไปจัดการเรื่องงานที่บริษัทต่อ ฉันขอตัวก่อน ถ้ามีอะไรโทรศัพท์มาได้ตลอดเวลาเลยนะ”
ความจริงแล้วเจียงหยู่รีบมาก เพราะทางบริษัทกำลังรอให้เขานำข้อมูลไปเปิดการประมูลอยู่
แต่เขาก็ยังทำทาร์ตไข่ได้อย่างสบายใจให้กับหวาเหวิน และยังลีลาอีกเล็กน้อย ถ้าคนในบริษัทรู้เข้า คงจะเป็นบ้ากันแน่
สรุปแล้วเรื่องสัญญาที่มีมูลค่ากว่า 300 ล้าน หรือ ว่าทาร์ตไข่ 6 ชิ้นที่สำคัญกว่า?
เจียงหยู่ออกไปอย่างรีบร้อน ซึ่งหวาเหวินเองก็สังเกตเห็นท่าทางรีบร้อนของเจียงหยู่อยู่เช่นเดียวกัน แต่เขาก็ยังอดทนทำทาร์ตไข่ให้กับเธอ
หวาเหวินไม่อยากเนรคุณต่อฝีมือการทำอาหารของเจ้าตัว จึงกินจนหมดเกลี้ยงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว
แต่ต้องบอกก่อนว่า รสชาติของทาร์ตไข่นี้อร่อยมากจริง ๆ ไม่แพ้ในร้านอาหารเลยแต่อย่างใด
หลังจากนั้นในชั่วเวลาอึดใจเดียว หวาเหวินก็รู้สึกชื่นชมการทำขนมหวานของเจียงหยู่ขึ้นมาทันใด
ความดีของเจียงหยู่ ไม่ได้ทำให้หวาเหวินรู้สึกดีขึ้นมาในชั่วพริบตาเดียว แต่มันค่อย ๆ ไหลแต่เน้นเรื่อย ๆ เหมือนกับฝนตกปอย ๆ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่กลับหนาวเย็นยะเยือกไปจนถึงจิตใจ
“คุณย่าคะ หนูควรจะทำยังไงดี หนูสามารถเชื่อผู้ชายคนนี้ได้ใช่ไหมคะ?” หวาเหวินตกสู่ความสับสน