ลิขิตรักส่งฉันมาเป็นคู่เธอ - ตอนที่ 267
ตอนที่ 267 เซอร์ไพรส์มากทีเดียว
หลังจากที่หวาเหวินกินอาหารเสร็จแล้ว ก็พาหยินซิ่งไปโรงพยาบาลทันที เพื่อไปอยู่เป็นเพื่อนหวาฟ้าน
จนเวลาร่วงเลยมาจนถึงตอนเที่ยง เจียงหยู่ก็ขับรถมารับเธอ แต่เปลี่ยนมาใช้รถพอร์เชอสีขาว 911
วันนี้หวาเหวินแต่งกายด้วยเสื้อไหมพรมขนแกะแคชเมียร์สีดำคอปกสูง และคลุมด้วยเสื้อขนเป็ดขนาดยาวกลาง ๆ ด้านนอก ซึ่งดูง่าย ๆ แต่ดูดีไม่ใช่น้อย
ถึงอย่างไรเธอก็ผอมและสวยอยู่แล้ว นอกจากนี้เธอยังสวมรองเท้านวมลุยหิมะสีเงินอีกด้วย ซึ่งขับให้เธอดูน่ารักขึ้นไม่น้อย
บนศีรษะใส่หมวกทรงสูงสีแดง ปักเป็นรูปนกตัวเล็ก ๆ ดูแปลกตาไม่เหมือนกับใคร
หลังจากที่ขึ้นรถมาแล้ว เธอจึงถามขึ้นด้วยความอยากรู้
“เราจะไปไหน?”
“ความลับ”
“นายคงไม่ได้เอาฉันไปขายหรอกใช่ไหม?” หวาเหวินถามอย่างตรงไปตรงมา
“วางใจเถอะน่า ไม่มีคนมาซื้อตัวเธอหรอก ต่อให้ชั่งกิโลขาย เธอก็สู้หยินซิ่งและชุนเถาไม่ได้หรอก”
คำพูดหยอกล้อของเจียงหยู่ ทำให้หวาเหวินหลุดขำออกมาไม่น้อย
รูปร่างของหยินซิ่งและชุนเถาจะพูดยังไงดีละ ไม่อ้วน แต่ก็ดูอุดมสมบูรณ์ไม่น้อย หวาเหวินหนักน้อยกว่า 90 กิโลกรัม แต่ชุนเถาและหยินซิ่งทั้งสองคน คนหนึ่งหนัก 118 กิโลกรัม อีกคนหนังถึง 120 กิโลกรัม
ถ้าเกิดจะขายขึ้นมาละก็ ซื้อเธอไปเท่ากับขาดทุนมากทีเดียว
ระหว่างทาง หวาเหวินเห็นต้นไม้ใบหญ้าที่เริ่มมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะอยู่รอบ ๆ ด้าน เลยอดที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายรูปไม่ได้
“ดูเหมือนว่าเธอจะใช้โทรศัพท์ค่อนข้างน้อยนะ Wechat ก็ไม่ค่อยเล่น โมเมนต์เพื่อนก็ไม่มีการโพสใด ๆ แถมยังเซลฟี่ตัวเองน้อยมากอีก”
“อื้อ แบบนี้แหละ” หวาเหวินรู้สึกที่เจียงหยู่พูดนั้นถูกหมดทั้งสิ้น
“ทำไมละ? ไม่สนุกเหรอ?”
“เปล่า ฉันแค่ไม่อยากมานั่งจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์มือของตัวเองเกินไป ขี้เกียจจดจ่ออยู่กับเรื่อง ๆ หรือไม่ก็ของสิ่งหนึ่งมากเกินไป เพราะฉันกลัว กลัวว่าจะทำให้การควบคุมของตัวเองนั้นอ่อนลง” หวาเหวินพูดขึ้นอย่างจริงจัง
“เธอก็ตั้งเหตุผลเกินไป เธอเพิ่งจะอายุแค่ไหนกันเชียว อย่าไปเข้มงวดกับตัวเองนักเลย”
“ไม่ได้สิ ต้องเข้มงวดกับตัวเองถึงจะดี ถ้าตัวเองยังควบคุมตัวเองได้ไม่ดีพอ แล้วจะประสบความสำเร็จได้ยังไงละ”
ความจริงแล้วเจียงหยู่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดของหวาเหวินเท่าไหร่นัก แต่เขาก็ไม่อยากไปทัดทานเธอเท่าไหร่ ที่ไม่อยากนั้นเป็นเพราะว่า หนึ่งเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อจิตใจ และสองเขาให้ความเป็นอิสระแก่ทุกคนเสมอ มีความคิดและพฤติกรรมเป็นของตัวเองนั้นเป็นเรื่องปกติ ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมายอมรับในทัศนคติของตัวเอง และคิดเป็นหนึ่งเดียวกับตัวเอง เพราะถึงยังไงมันก็ยาก
หลังจากที่ขับขึ้นทางด่วนมาประมาณ 40 นาที และลอดผ่านอุโมงค์ไปแล้วสองรอบ
ก็ถึงจุดหมายปลายทางโดยสวัสดิภาพ เมื่อทอดมองออกไป ณ ที่ไกล ๆ ก็เห็นภูเขาที่ไม่สูงและไม่เตี้ยมากนัก ซึ่งเป็นสถานที่ที่แปลกตาสำหรับหวาเหวินมาก และไม่เคยเห็นมาก่อน
ตอนที่ขับมาถึงทางเข้า เธอเพิ่งสังเกตเห็นว่าตรงประตูทางเข้านั้นมีแผ่นป้ายไม้ติดอยู่ ซึ่งเขียนด้วยประโยคง่าย ๆ ว่า —— คฤหาสน์เหมยจวง
“ที่นี่ที่ไหน?”
หวาเหวินไม่รู้ว่าที่นี่คือร้านอาหาร หรือว่ารีสอร์ท? หรือจะเป็นออนเซ็น? ที่เล่นสกี?
เธอเดาเองไปต่าง ๆ นานา แต่นึกไม่ถึงว่า ตัวเองนั้นจะเดาผิดหมดทุกอย่าง
ที่นี่เป็นคฤหาสน์ส่วนตัวแห่งหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นคฤหาสน์ส่วนตัวของตระกูลเจียงหยู่อีกด้วย ถึงแม้ว่าจะดูธรรมดาไม่หวือหวา แต่คนภายนอกแทบจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำ
เพราะที่อยู่ค่อนข้างซับซ้อน แถมยังอยู่นอกชานเมือง จนเกือบจะถึงชนบทเลยทีเดียว
ตอนที่หวาเหวินและเจียงหยู่เข้าไปข้างในนั้นก็พบกับสามีภรรยาอาวุโสคู่หนึ่งเดินออกมาต้อนรับ
“คุณลุงหลี่ คุณป้าหลี่ นี่คือภรรยาของผมครับ เหวินเหวิน”
“ไอหยา ภรรยาคนนี้หน้าตาสะสวยจริง ๆ ก่อนหน้านั้นฉันเองก็เคยได้ยินแม่ของคุณหนูพูดอยู่บ่อย ๆ ฉันจึงร้อนใจ หวังจะได้เจอภรรยาของคุณหนูสักครั้ง” คุณลุงหลี่พูดด้วยใบหน้าที่แสนอ่อนโยน
หวาเหวินพยักหน้าและยิ้มออกมาเล็กน้อย ถือซะว่าเป็นการทักทาย
“คุณลุง คุณป้าครับ พวกเราขอฝากท้องที่นี่สักมื้อนะครับ ช่วยตุ๋นห่านตัวใหญ่ให้พวกเราหน่อยได้ไหมครับ?”
“ได้สิ วันหิมะตกเหมาะกับตุ๋นห่านที่สุดเลย ฮ่าฮ่า รอก่อนนะ ชั่วโมงเดียวก็เสร็จแล้ว” ทั้งสองคนหัวเราะอย่างชอบใจ
ในตอนที่เจียงหยู่พาหวาเหวินเดินไปหลังภูเขานั้น เขาก็ได้ทำการอธิบายให้เธอฟังว่า “คุณลุงหลี่และคุณป้าหลี่ทำงานให้กับครอบคัวของเรามานานหลายปีแล้ว คุณลุงเป็นคนขับรถให้กับคุณพ่อของฉัน ส่วนคุณป้าหลี่เป็นแม่นมให้กับฉัน หลังจากที่ฉันเกิด แม่ของฉันมีน้ำนมน้อย และเป็นช่วงจังหวะที่คุณป้าหลี่ให้กำเนิดลูกสาวของหล่อนพอดี ฉันจึงได้อาศัยน้ำนมของคุณป้า สามีภรรยาทั้งสองปฏิบัติกับพวกเราดีมาก พ่อแม่ของฉันจงได้ทดแทนพระคุณของพวกเขาทั้งสอง หลังเกษียณพ่อกับแม่ของฉันจึงได้ซื้อคฤหาสน์หลังนี้ให้พวกเขาเป็นคนดูแล วันหยุดพวกเราก็มักจะมาเที่ยวเล่นที่นี่ พูดคุยกัน ดื่มชา และกินข้าวด้วยกัน พ่อกับแม่มักพูดเสมอว่า อย่ายุ่งแต่กับงาน จนมองข้ามช่วงเวลาดี ๆ ไป ฉันเองก็คิดอย่างนั้นมาโดยตลอด”
เมื่อหวาเหวินได้ยินเจียงหยู่เล่าเรื่องจิปาถะทั่วไปของครอบครัว เธอรู้สึกว่ายิ่งได้ฟังก็ยิ่งอบอุ่นมากขึ้นเท่านั้น ตระกูลเจียงนั้นมีความรักให้แก่กัน แตกต่างจากตระกูลมั่งคั่งอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง
“เอ๊ะ? ถึงแล้ว เหวินเหวินเธอดูข้างหน้านั้น” เจียงหยู่ชี้ไปทางสถานที่ที่ไม่ไกลมากนัก
ในชั่วพริบตาเดียวที่หวาเหวินเงยหน้าขึ้นมา ก็ตกใจกับภาพที่เห็นจนพูดอะไรไม่ออก เธอมาเคยรู้สึกตะลึงแบบนี้มาก่อนเลย