ลิขิตรักส่งฉันมาเป็นคู่เธอ - ตอนที่ 91
ตอนที่ 91 ทำงานหนักจนประสบความสำเร็จ
ชุนเถาและหยินซิ่งต่างมองหน้ากันเธอมองฉันฉันมองเธออีกครั้ง
“เอาเงินของคุณคืนไปเถอะค่ะ ฉันไม่สนว่าคุณจะให้อะไรแก่พวกเรา แต่ฉันจะไม่ช่วยส่งจดหมายฉบับนี้โดยเด็ดขาด”
เมื่อพูดจบ ชุนเถาและหยินซิ่งก็ขึ้นรถ แล้วขับออกไปอย่างสง่าผ่าเผย
นี่เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของแซ่จื๋อจ้วนไม่น้อยเลยทีเดียว ตั้งแต่เล็กจนโต เขามักจะรู้สึกว่าเงินเป็นสิ่งที่สามารถซื้อได้ทุกสิ่งอย่าง
เขาจึงมีคติพจน์ประจำใจประโยคหนึ่ง และมักใช้เป็นประจำเสมอ
ประโยคนั้นก็คือ—— เรื่องราวกว่า 99 % บนโลกใบนี้สามารถใช้เงินแก้ปัญหาได้ ส่วน 1% ที่เหลือก็คือการใช้เงินแก้ปัญหาที่มากขึ้น
เลยคิดว่าถ้าเด็กสาวทั้งสองคนนี้เห็นเงิน พวกเธอต้องยอมช่วยเหลือเขาอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรการส่งจดหมายฉบับนี้มันก็เป็นแค่เรื่องง่าย ๆ อยู่แล้ว
แต่นึกไม่ถึงว่า เจ้าตัวจะไม่ขอยุ่งเกี่ยว แถมยังปฏิเสธอีกด้วย
ต้องบอกก่อนว่า คนที่เย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเองในสมัยนี้มีไม่เยอะนัก
ดูเหมือนหวาเหวินน่าจะดีต่อพวกเธอมาก ถึงทำให้พวกเธอมีความซื่อสัตย์แบบนี้
เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ แซ่จื๋อจ้วนก็ยิ่งชอบหวาเหวินมากขึ้น
เขารู้สึกว่าเธอมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่น่าสนใจมากทีเดียว
บริษัทตระกูลหวา
หลังจากที่การประชุมช่วงเช้าสิ้นสุดลง หวาหรุงก็เข้าไปหาหวาซวงในห้องทำงาน
ประจวบเหมาะกับที่สามีของหวาซวงอย่างหลิวเด๋อข่ายอยู่ด้วยพอดี
ทั้งสามคนต้องการหารือเกี่ยวกับเรื่องส่วนแบ่งพินัยกรรมของคุณย่าในวันนั้น
คำพูดของหวาหรุงค่อนข้างไม่น่าฟัง และไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“พี่ใหญ่ พี่ว่าเรื่องนี้ ทำไมเราสองคนถึงได้อัดอั้นตันใจมากขนาดนี้ละ? หลายปีมานี้เราสองคนก็ลงแรงลงใจ เป็นวัวเป็นม้าให้กับบริษัท ทำงานอย่างหนักแต่ไม่ได้รับเครดิตอย่างนี้นะเหรอ? พวกเธอกลับไม่สนใจความดี หรือผลงานที่พวกเราทำเลย เพียงแค่ประจบประแจงรอรับเงินปันผลอยู่ที่บ้าน ใครกันแน่ที่โง่เง่า?”
หวาซวงยิ้มออกมาเล็กน้อย “ทำไงได้ละ เราสองโตกว่า ย่อมต้องดูแลน้อง ๆ อยู่แล้ว”
หวาหรุงยิ้มอย่างเย็นชาออกมา “เหอะเหอะ ดูแลน้อง ๆ เหรอ? แล้วทำไมน้อง ๆ ถึงไม่รู้จักดูแลตัวเองละ? หวาผิงแสดงละครได้ตั้งมากมาย หาเงินได้ตั้งเยอะแยะ มีคอนโดมากมายภายใต้ชื่อตัวเอง ไม่เคยพูดว่าจะยกคอนโดให้พวกเราสักห้องหรือสองห้องเลยด้วยซ้ำ? หวาลินก็ยิ่งแล้วไปใหญ่ เห็นเงินทองเหมือนสิ่งของไร้ค่าทุกวัน แต่พอถึงตอนที่จะได้รับเงินปันผล กลับไม่พูดว่าไม่ต้องการเลยนะ? หวาเหวิน ฉันละขี้เกียจจะพูดละ เจ้าตัวเองก็ฉลาดไม่ใช่เล่น ประจบสอพลอคุณย่ามาตั้งแต่เด็ก ๆ จนตอนนี้คุณย่าจากพวกเราไปแล้ว แต่กลับยกทุกอย่างให้กับเธอ มันหมายความว่าอย่างไรกัน?”
มรดกที่หวาเหวินได้รับ ทำให้เธอกลายเป็นเศรษฐีรวยล้นฟ้าเลยทีเดียว
แต่ต่อมาก็ได้ยินว่า เธอยกรถเบนท์ลีย์ให้กับคุณพ่อ และสร้อยมุกเพชรพลอยครึ่งหนึ่งให้กับคุณแม่
แต่พี่น้องกันเองเหล่านี้ กลับไม่คิดจะแบ่งให้สักแดงเดียว
หวาผิงไม่ได้สนใจ เพราะหาเงินเองได้
ส่วนหวาลินก็ยิ่งไม่สนใจใหญ่ เพราะเธอไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับคุณย่าขนาดนั้น ไม่ได้ก็ไม่เป็นอะไร
แต่พี่ใหญ่กับพี่รองนั้นแตกต่างกัน พวกเธอทั้งสองถือเอกสิทธิ์เรื่องการเงินทั้งหมดในบริษัทของตระกูลหวามานานหลายปี
ย่อมต้องได้ผลประโยชน์ก่อนใครเพื่อน
เมื่อได้ยินหวาหรุงพึมพำจบลง หลิวเด๋อข่ายก็ยิ้มออกมา “น้องรองพูดถูก นายหญิงแก่ลำเอียง คุณพ่อคุณแม่ก็ลำเอียง ……. เอะอะอะไรก็ให้แต่น้องห้า ตอนนี้น้องหาก็เป็นคนนอกไปแล้ว ได้เงินไปตั้งมากตั้งมาย เธอไม่ยกมันทั้งหมดให้กับตระกูลเจียงเลยเหรอ? คุณพ่อคุณแม่เองก็แก่มากแล้ว………เป็นไปได้ยังไง…..ฮาย ธุรกิจค้าขายของตระกูลหวาก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นักในช่วงนี้ ไม่เห็นแก่พวกเราเลยสักนิด พวกเขาอ่าไม่ได้เป็นคนดูแลบ้าน ไม่รู้ว่าของเครื่องใช้มันแพงหรอก”
“พี่เขยพูดก็ถูกคะ เรื่องนี้ปล่อยให้ผ่านไปไม่ได้ …. ในงานเลี้ยงของตระกูลครั้งต่อไป ฉันต้องพูดเรื่องนี้ให้ได้”
“น้องห้าเองมีผู้สนับสนุนอย่างเจียงหยู่อยู่แล้ว เธอจะไปพูดอะไรได้ ? พ่อกับแม่ก็ต่างประนีประนอมกันจะตาย” หวาซวงเองก็จนปัญญา
“เราจะให้เจียงหยู่ได้ยินเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ ต้องคุยกับน้องห้าเป็นการส่วนตัว น้องห้าเพิ่งจะอายุ 22 ปีเอง ยังเด็ก จะไปมีความคิดเท่าไหร่กันเชียว?” ความหมายของหวาหรุงแสดงออกมาอย่างชัดเจน ว่าต้องการเห็นหวาเหวินถูกรังแก ดังนั้นแค่ต้องบีบบังคับนิดหน่อย ดูสิว่าจะทำให้เธอยอมยกของเหล่านี้ให้ได้
หวาหวินในเวลานี้ กำลังพันผ้าพันคอให้กับเจ้าโคกอยู่ เพราะเธอคิดว่าอากาศเย็นแล้ว เจ้าโคกชอบวิ่งออกไปทั่ว
“คุณหนูคะ โทรศัพท์จากคุณหนูสี่คะ” หยินซิ่งนำโทรศัพท์ยื่นให้แก่หวาเหวิน