ลืมรักเลือนใจ - ตอนที่ 133 เหมือนลากไปตบกลางสี่แยก / ตอนที่ 134 ฉันไม่มีเงิน
ตอนที่ 133 เหมือนลากไปตบกลางสี่แยก
หลินเยียนนอนแผ่อยู่บนเตียงพลางอ่านเรื่องซุบซิบดาราบนอินเทอร์เน็ต แล้วจู่ๆ สายเรียกเข้าจากจ้าวหงหลิงก็ขัดจังหวะเธอ
“ฮัลโหล พี่หลิงเหรอ?”
“เธออ่านโพสต์เว่ยป๋อของเว่ยสวีเฟิงหรือยัง” ตามคาด จ้าวหงหลิงโทรมาหาเธอเรื่องนี้จริงๆ ด้วย
“กำลังอ่านเลยค่ะ” หลินเยียนตอบ
หลินเยียนกำลังจะอัปเดตโพสต์บนเว่ยป๋อของตัวเอง แต่เธอบังเอิญสังเกตเห็นว่ามีความคิดเห็นแง่ลบมากมายกว่าปกติ เธอจึงลองดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยๆ จนพบกับโพสต์ของเว่ยสวีเฟิงเข้า
หญิงสาวอ่านโพสต์นั้นผ่านๆ อย่างไม่ใส่ใจก่อนจะกลับไปอัปเดตโพสต์ที่น่าเบื่อตามปกติเหมือนทุกวัน
“เธอน่าจะรู้เรื่องประวัติของเว่ยสวีเฟิงมาแล้วนะ เราสู้เขาไม่ได้แน่ๆ หมอนี่น่ะอารมณ์ร้อนจะตายไป! เขาไม่สนใจใครทั้งนั้น และฉันกลัวว่าเธอจะลำบากที่กองถ่ายเพราะอีตานี่
พรุ่งนี้ฉันไม่ว่างเลยไปด้วยไม่ได้ เธอต้องระวังตัวให้มากๆ และพยายามอดทนเข้าไว้ อย่าปะทะกับเขาตัวต่อตัวเด็ดขาดนะ” จ้าวหงหลิงเตือนเธอ
หลินเยียนพยักหน้าอย่างว่าง่าย “เข้าใจแล้วค่ะพี่หลิง”
จ้าวหงหลิงถอนหายใจก่อนเอ่ยว่า “ถ้าหมอนั่นทำเกินเหตุก็โทรหาฉัน เดี๋ยวฉันจะจัดการให้เอง”
เว่ยสวีเฟิงเป็นที่รู้จักดีทั้งด้านความสามารถและความจองหอง เขาเป็นคนอารมณ์ร้ายและมักจะก่อเรื่องราวไม่เว้นแต่ละเว้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครกล้าหาเรื่องเขาอยู่ดี ด้วยความที่เขาเป็นคนร่างใหญ่ดูแข็งแรงนั่นเอง
และคราวนี้แฟนๆ ก็พร้อมที่จะเข้าข้างเว่ยสวีเฟิงอยู่แล้ว
พวกหลินเยียนกำลังเผชิญหน้ากับสารพันคำครหาอยู่แท้ๆ แล้วจู่ๆ ก็ดันมีเว่ยสวีเฟิงมาร่วมแจมด้วยอีกคน…
หากหวยออกที่สถานการณ์เลวร้ายขั้นสุด จ้าวหงหลิงก็เตรียมแผนรับมือไว้แล้ว นั่นคือการถอนตัวหลินเยียนจากภาพยนตร์เรื่องนี้…
“พรุ่งนี้ตัวตัวจะไปกับเธอ ฉันรู้ว่าตัวตัวเป็นคนขวานผ่าซากและมีอคติกับเธอ พยายามอย่าถือสาตัวตัวเลยนะ ฉันอธิบายเรื่องนี้กับตัวตัวไปแล้วแต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเท่าไหร่ ถึงยังไงตัวตัวก็จะดูแลและคอยช่วยเหลือเธออย่างดีที่สุดนั่นแหละ อย่ากังวลไป”
เมื่อหลินเยียนได้ยินดังนั้น เธอก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาทันที “ขอบคุณค่ะพี่หลิง”
เธอไม่ได้สนใจเรื่องที่ตัวตัวมีอคติกับเธอเท่าไร อันที่จริงแล้ว เธอรู้สึกสบายใจด้วยซ้ำที่ตัวตัวแสดงออกว่าไม่ชอบหน้าหลินเยียนอย่างเปิดเผย
อย่างน้อยหลินเยียนก็ไม่ต้องระมัดระวังตัวจนเกินเหตุเมื่ออยู่กับตัวตัว
ผู้ช่วยคนเก่าของหลินเยียนนั้นเสแสร้งแกล้งทำเป็นคนว่าง่ายและเชื่อฟัง แต่ลับหลังกลับทำเรื่องเลวร้ายหลายอย่างจนทำให้หลินเยียนรู้สึกหวาดกลัว
ตลอดเวลาที่ผ่านมา หลินเยียนสร้างปัญหาให้จ้าวหงหลิงไว้มากมาย แต่ผู้จัดการสาวก็ยังไม่ยอมแพ้ในตัวเธอ
จ้าวหงหลิงจะทิ้งหลินเยียนไปดูแลและปั้นดาราคนอื่นแทนก็ได้ แต่เธอไม่ทำเช่นนั้นแม้ว่าจะกำลังตกที่นั่งลำบากของชีวิตหน้าที่การงานอย่างเช่นในเวลานี้ จ้าวหงหลิงยังคงปฏิบัติกับหลินเยียนอย่างดีต่อไปเพราะเป็นศิลปินที่อยู่ในความดูแลของเธอ
…
วันรุ่งขึ้นที่กองถ่าย บรรดาทีมงานพากันจับกลุ่มนินทากันเสียงดังเอะอะ
“นี่ เห็นโพสต์ของเว่ยสวีเฟิงเมื่อวานปะ”
“เออ! เห็น! ฉันละขำแทบตายตอนอ่าน เว่ยสวีเฟิงนี่โคตรใจกล้าอะที่บอกว่าต้องตาบอดเท่านั้นแหละถึงจะหลงชอบหลินเยียนได้! รู้เปล่าว่าโพสต์นั้นติดอันดับการค้นหาด้วยนะ!”
“สมน้ำหน้าหลินเยียนมัน ขยันเป็นข่าวฉาวได้วันเว้นวันแบบนี้ก็ต้องโดนซะมั่ง เว่ยสวีเฟิงนี่แบบว่าลากหล่อนไปตบกลางสี่แยกเลยอะ! ไม่รู้ว่าหลินเยียนกล้าไปแตะต้องเจ้าชายแห่งวงการเพลงที่มีศักดิ์เป็นคุณชายของคราวน์ จีเวลเลอร์ คอร์เปอเรชันได้ไง ใครๆ ก็รู้ว่าเขามีอิทธิพลแค่ไหน? ยัยนี่รนหาที่ตายเห็นๆ !”
ตอนที่ 134 ฉันไม่มีเงิน
พวกทีมงานหยุดพูดแล้วส่งสายตาให้กันและกันเป็นนัยก่อนกระซิบกระซาบว่า “นอกจากนี้อะนะ ใครๆ ก็รู้ว่าเว่ยสวีเฟิงชอบหลินซูหย่า คิดว่าเขาจะอยู่เฉยหรือไงถ้านางฟ้าของเขาถูกรังแกแบบนี้”
“เฮอะ! มีแต่คนหน้าด้านอย่างหลินเยียนเท่านั้นแหละที่กล้าใช้วิธีสกปรกแย่งผู้ชายมาจากหลินซูหย่าน่ะ นี่หล่อนจะรู้ตัวบ้างไหมว่าหล่อนเป็นตัวตลกให้คนในวงการเขาหัวเราะเยาะกันทั้งบาง”
“แล้วช่างกล้าถึงขนาดมาฉกเอาบทหลินเพียนรั่วไปเล่นอีกต่างหากนะ! คิดว่าจะเอาอยู่หรือไงไม่ทราบ ฉันล่ะสงสัยจริงจริ๊งว่ายัยนั่นจะกล้าโผล่มามั้ยหลังจากที่โดยท่านเว่ยของเราหมายหัวแบบนี้”
…
ทั่วทั้งสตูดิโอตกอยู่ในความเงียบทันทีเมื่อกลุ่มทีมงานพูดคุยกันจบ
หลินเยียนเดินตรงมาจากทางเข้า วันนี้เธอแต่งตัวในเสื้อผ้าสบายๆ ง่ายๆ และสวมหมวกเหมือนเคย ตัวตัวเดินตามด้านหลังมาติดๆ
สายตาหลายคู่จ้องเขม็งมาทางพวกหลินเยียนทันทีที่เดินเข้ามา
“มาดูเร็ว! หลินเยียนมา! ตายแล้ว! หล่อนนี่หน้าหนาเบอร์ไหนกันเนี่ย หล่อนมาจริงๆ ด้วย!”
“แหม ก็ได้โอกาสแสดงเป็นคู่รักกับเว่ยสวีเฟิงก็ต้องรีบคว้าไว้สิยะ ถ้าบังคับให้หมอบคลานมาก็คงจะทำด้วยละมั้ง”
“ท่านเว่ยสวีเฟิงจะมาตอนไหนเนี่ย แทบจะทนรอดูยัยนี่ตอนโดนทึ้งเป็นชิ้นๆ ไม่ไหวแล้ว! ต้องเป็นฉากที่สุดยอดมากแน่ๆ!”
…
ตัวตัวคุ้นชินกับการถูกปฏิบัติอย่างสุภาพอ่อนน้อมมากกว่าเพราะเธอเคยทำงานกับเจี่ยงซือเฟยมาตลอด
แต่ตอนนี้ เธอได้ยินคำเหน็บแนมสารพัดรูปแบบเมื่อทำงานกับหลินเยียนในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น
ตัวตัวตีหน้าบึ้งพลางบ่นเย้ยหยันใส่หลินเยียน “เอาจริงๆ นะ ฉันทำงานในกองถ่ายมาหลายปี ฉันไม่เคยเห็นใครถูกเกลียดมากเท่านี้มาก่อนเลย…”
คนแปลกหน้าทุกคนบนโลกออนไลน์สามารถเป็นเพื่อนกันได้ ตราบใดที่มีเป้าหมายเดียวกันคือหลินเยียน
หลินเยียนยิ้มกว้างให้ผู้ช่วยสาว “จริงเหรอ? ฉันน่าประทับใจขนาดนั้นเลยเหรอ แหม ฉันทำงั้นได้ไงกันน้า”
ตัวตัวเบ้ปาก “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าพี่ยังใจกล้าแบบนี้อยู่ได้ยังไง พี่รู้ไหมว่าคราวนี้พี่โดนใครหมายหัวน่ะ ทำไมยังทำตัวตลกโปกฮาอยู่อีก พี่จะตายรึเปล่าก็ไม่รู้นะ”
“เว่ยสวีเฟิงน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ” หลินเยียนเลิกคิ้ว
ตัวตัวอึ้ง “ใช่สิ! พี่ไม่เคยได้ยินเรื่องของหมอนั่นบ้างเลยหรือไง ก่อนเดบิวต์เขาก็มีชื่อเสียงมากอยู่แล้วเพราะมาจากตระกูลใหญ่ที่ทรงอิทธิพลแถมขึ้นชื่อเรื่องเอาตัวเองเป็นใหญ่อีกต่างหาก!
หมอนั่นมันพวกเผด็จการ อยากได้อะไรก็ต้องได้ ใครก็ไม่กล้าหือกับเขาหรอก! ลองไม่ได้ดั่งใจสิ พ่อจะเล่นให้เละเลย!
พี่น่ะโชคดีแล้วที่เขาไม่มาวุ่นวายตั้งแต่มีข่าวครั้งก่อนนู้น แต่กลายเป็นว่าไอ้ข่าวฉาวนั่นดันกลับมากระพืออีกรอบซะได้ ตอนนี้เขาคงไม่ปล่อยพี่ไว้แล้วแหงๆ”
ตัวตัวรู้สึกหัวเสียกว่าเดิมขณะที่พูดว่า “ทำไมพี่ถึงกุข่าวลือใหม่ๆ ลับหลังพี่หลิงอยู่เรื่อย พี่ไม่อยากใช้ชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์แล้วหรือไง ทำไมถึงชอบหาเรื่องกับพวกตัวอันตรายนักนะ”
หลินเยียนกะพริบตาอย่างงุนงง “ใครบอกว่าฉันเป็นคนกุข่าว”
ตัวตัวสวนกลับ “แล้วจะเป็นใครไม่ทราบ”
หลินเยียนตอบกลับ “ฉันไม่มีเงินนะ ฉันจะปล่อยข่าวได้ไง”
ตัวตัวสำลักจนพูดอะไรไม่ออก
เธอรู้ว่าหลินเยียนถังแตกจริงๆ
เสื้อผ้าทุกชุดที่หลินเยียนใส่ต่างมีราคาถูก กระเป๋าที่เธอใช้ก็ขาดรุ่งริ่งซ้ำยังมีตัวอักษรปักอยู่บนกระเป๋าว่า ‘ต้องรวยให้ไว!’
วันนี้หลินเยียนเดินทางมาที่กองถ่ายด้วยรถสาธารณะแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อันตราย แต่เงินสำคัญกว่าชีวิตของเธอ…
และบัญชีเว่ยป๋อใหม่ของหลินเยียนก็โพสต์แต่คำพูดเดิมซ้ำๆ เหมือนกันทุกวันจนตัวตัวทนดูไม่ได้
หลินเยียนสังเกตเห็นว่าตัวตัวไม่สามารถสรรหาคำใดมาพูดได้อีก เธอจึงตบบ่าตัวตัวเบาๆ พลางยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ทำไมฉันต้องเสียเงินกับเรื่องไร้สาระด้วย ในเมื่อฉันมีความสามารถอยู่แล้ว”
ตัวตัวคิดในใจ ‘เอาเหอะ พี่ชนะแล้ว ตราบใดที่ทำแบบนี้แล้วมีความสุขน่ะนะ’