ลืมรักเลือนใจ - ตอนที่ 229 สเตบิไลเซอร์กลายเป็นถังดินระเบิด / ตอนที่ 230 ฉันสำนึกผิดแล้ว!
- Home
- ลืมรักเลือนใจ
- ตอนที่ 229 สเตบิไลเซอร์กลายเป็นถังดินระเบิด / ตอนที่ 230 ฉันสำนึกผิดแล้ว!
ตอนที่ 229 สเตบิไลเซอร์กลายเป็นถังดินระเบิด
เผยหนานซวี่มีสีหน้าร้อนรน “การวิจัยของประเทศ M ไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นพี่ใหญ่ก็ไม่ให้ความร่วมมือ ผู้เชี่ยวชาญมาก็ไม่มีประโยชน์…”
เผยหนานซวี่หยุดชะงัก จากนั้นก็เอ่ยปากพูดต่อไป “ที่จริงเรื่องนี้พี่ใหญ่ทำเกินไปบ้างจริงๆ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่น ไม่แน่ว่าอาจจะยอมรอมชอมด้วย แต่ดูจากนิสัยหลินเยียน เป็นคนที่ยอมเป็นหยกแหลกลาญ ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์ ไปข่มขู่เธอแบบนี้ กลัวว่าจะทำให้เรื่องยิ่งแย่ขึ้นเท่านั้น…”
ฉินฮวนเผยสีหน้าหวาดผวา “ที่คุณพูดมันช่างถูกต้องเสียเหลือเกินครับ! คิดว่าคุณหลินเยียนมีประโยชน์สำคัญมากขนาดนี้ ทำไมตอนนั้นกลับไม่มีใครกล้าควบคุมเธอ! เพราะไม่กล้า! แม่สาวคนนี้แข็งกร้าวเกินไปแล้ว! แม้แต่พี่อวี้ก็ยังทำตัวแข็งกร้าวใส่ไม่หยุด! ต่อให้เสียความทรงจำก็ไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิดเดียว ยังคงอารมณ์ร้ายแบบนี้…”
ที่แย่ที่สุดก็คือลูกพี่ก็สูญเสียการควบคุมเหมือนกัน เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เขาแค่อาศัยสัญชาตญาณ ใช้ทุกวิธีที่จะรั้งหลินเยียนได้เพื่อรั้งเธอเอาไว้…
“ผมว่าคราวนี้เอาไม่อยู่แล้ว…ตายแน่ๆ ต้องตายแน่ๆ …”
จี้หลานมองหลินเยียนอย่างเย็นชา เมื่อได้ยินเสียงร้องเตือนที่ดังไม่หยุด สีหน้าก็ยิ่งหนักอึ้ง “ฉันบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าเธอคือระเบิดที่ไม่แน่นอน ไม่ช้าก็เร็วพี่อวี้จะต้องถูกเธอทำร้ายจนตายแน่…”
ฉินฮวนไอเบาๆ ครั้งหนึ่ง “นั่นจะพูดแบบนี้ไม่ได้เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ไม่รู้ว่าลูกพี่ตายไปแล้วกี่ครั้งตั้งแต่แรก แต่ถ้าเป็นตอนนี้ เธออยู่ห่างจากลูกพี่สักหน่อยก็ดีกว่าจริงๆ นั่นแหละ…”
เผยอวี่ถังร้อนใจจนกุมหัว “พับผ่าสิ! พวกนายบอกว่าพี่เยียนเป็นสเตบิไลเซอร์ของพี่ใหญ่ไม่ใช่หรือไง? แล้วทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นถังดินระเบิดไปแล้วล่ะ? ถ้าความสามารถในการทำให้สงบลงของพี่เยียนใช้ไม่ได้ผล งั้นพี่ใหญ่จะทำยังไง…”
ฉินฮวนทึ้งผมด้วยความปวดหัวอย่างยิ่ง “ผมว่าเรื่องเร่งด่วนคือแยกสองคนนี้ออกจากกันก่อน อย่าให้เธอกระตุ้นลูกพี่อีกครับ!”
“หยกศิลาล้วนลานแหลกลาญ…” เผยอวี้เฉิงพึมพำคำพูดนี้ออกมาทีละคำ จากนั้นก็ค่อยๆ หลับตาลง เหมือนกำลังย้อนนึกถึงเรื่องอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาเจ็บปวดอย่างยิ่ง กลิ่นคาวเลือดอบอวนอยู่ในช่องปาก
ชั่วพริบตาที่หลินเยียนพูดจบ เสียงเตือนจากนาฬิกาข้อมือเผยอวี้เฉิงก็ดังรุนแรงด้วยอัตราที่ทำให้คนประหวั่นลนลาน
ส่วนตอนนี้หลินเยียนถึงรู้ตัวว่าไม่รู้ทำไมนาฬิกาข้อมือเผยอวี้เฉิงถึงดังอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เมื่อกี้
เพียงแต่หลินเยียนไม่ได้สนใจมากนัก เดิมทีเธอก็เดือดดาลอยู่แล้ว บวกกับความรู้สึกที่ควบคุมไม่ได้ภายในร่างกาย ขณะนี้เธอถูกความโกรธเข้าครอบงำสติสัมปชัญญะโดยสิ้นเชิง พูดต่อไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว “เผยอวี้เฉิง ขออภัยที่ฉันพูดตามตรง ต่อให้นายมีทรัพย์สมบัติมหาศาล ต่อให้นายเป็นที่เคารพเทิดทูนมีสถานะสูงส่งจนเอื้อมไม่ถึงแล้วจะทำไม นายเห็นแก่ตัวเห็นแก่ประโยชน์ เลือดเย็นไร้ความรู้สึก ไม่รู้จักให้เกียรติคนอื่น และยิ่งไม่มีทางรักคนอื่น ฉันหลินเยียน ชาตินี้ต่อให้ชอบนายหมานายแมว ก็ไม่มีวันชอบนาย ในพจนานุกรมของฉันไม่มีคำว่าอ่อนข้อสองคำนี้…”
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด…
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด…
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด…
ชั่วพริบตาที่คำพูดด้วยโทสะของหลินเยียนจบลง เผยอวี้เฉิงพลันกุมหน้าอก ใบหน้าไร้สีเลือดไปพร้อมกับเสียงร้องเตือนที่น่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ
“พี่อวี้!!!”
“ลูกพี่”
พวกของฉินฮวนและเผยอวี่ถังสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
ทันใดนั้นเผยอวี้เฉิงก็ยืนขึ้น มือข้างหนึ่งจับแขนหลินเยียนด้วยอาการสั่นเทา
เมื่อเห็นสถานการณ์ ประกายเย็นเยียบก็กระจ่างวูบขึ้นในดวงตาหลินเยียนเล็กน้อย แต่หลินเยียนยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาอะไร ร่างกายเผยอวี้เฉิงที่อยู่ตรงหน้ากลับโอนเอนใกล้จะล้ม
“นาย…” หลินเยียนจ้องเผยอวี้เฉิง ใบหน้าเต็มไปด้วยความแปลกใจ
วินาทีต่อมากลับเห็นเผยอวี้เฉิงกระอักเลือดออกมาทันที ร่างกายเหมือนในที่สุดก็ฝืนทนจนถึงขีดจำกัด…
ตอนที่ 230 ฉันสำนึกผิดแล้ว!
เมื่อเห็นเผยอวี้เฉิงกำลังจะล้มลง ฉินฮวนซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดก็คิดที่จะเข้าไปประคองทันที เพียงแต่เพิ่งจะก้าวเข้าไปได้เพียงก้าวเดียว เขาก็ถูกเผยอวี้เฉิงซัดลอยจนกระเด็นออกไป
“แม่เจ้าโว้ย…”
ฉินฮวนร่วงลงบนกองเศษซากปรักหักพัง ร้องโอดโอยพลางเอามือประคองเอว “เกือบลืมไป เข้าใกล้ลูกพี่ตอนนี้ไม่ได้…คุณชายรอง คุณชายสาม พวกคุณอย่าเข้าไปเด็ดขาดนะครับ เข้าไปแล้วได้พิการแน่”
ตอนลูกพี่สูญเสียการควบคุม พวกเขาสามคนต่างต้านทานไม่อยู่ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเผยอวี่ถังกับเผยหนานซวี่
หลินเยียนคิดไม่ถึงเลยว่าชายหนุ่มจะกระอักเลือดออกมากะทันหัน สีหน้าโกรธเกรี้ยวเพราะเธอกำลังสูญเสียการควบคุมพลันแข็งทื่อ ใบหน้าว่างเปล่า กลายเป็นความสับสนลนลานแทน
หลินเยียนยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น มองดูชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้า เลือดที่แผดเผาลุกโชนอยู่ภายในร่างกายเย็นลงทีละน้อย
ในที่สุดเผยอวี้เฉิงก็ฝืนทนจนถึงขีดจำกัด ร่างกายค่อยๆ ล้มไปข้างหน้า
รูม่านตาหลินเยียนหดลงเล็กน้อย เธอประคองร่างเผยอวี้เฉิงไว้ เกือบจะเป็นการทำตามสัญชาตญาณ
แต่…กลับถูกเผยอวี้เฉิงหลบเลี่ยงการสัมผัสทันที
หลินเยียนใบหน้าแข็งค้างเล็กน้อย วินาทีต่อมาก็เคลื่อนไหวโดยเพิ่มกำลังขึ้นอีกเล็กน้อย ฝืนประคองเผยอวี้เฉิงเอาไว้ “นายยังมีหน้ามาโมโหอีกนะ ฉันเป็นคนที่ถูกนายทำให้ใกล้จะโมโหตายคนนั้นต่างหาก โอเคไหม”
“แค่กๆ…” เผยอวี้เฉิงกุมหน้าอก
เมื่อเห็นเผยอวี้เฉิงทำท่าจะกระอีกเลือดอีกครั้ง หลินเยียนก็ร้อนใจ ด้วยความลนลานจนทำอะไรไม่ถูกเลยพูดจาประนีประนอมออกมาทันทีโดยแทบปราศจากความลังเล “เออๆๆ ได้ๆๆๆ! ความผิดฉันเอง ความผิดฉันเอง! ทุกอย่างเป็นความผิดของฉันเอง! นายใจเย็นๆ! ใจเย็นๆ นะ!”
“พับผ่าสิ…นายเข้าใจอะไรผิดรึเปล่าเนี่ย! ก็แค่คู่รักทะเลาะกันเอง ทำไมถึงโมโหฉันจนกระอักเลือดได้ล่ะ” หลินเยียนพึมพำเสียงค่อย
เธอดุร้ายขนาดนี้เลยหรือไง
อืม…
เมื่อกี้เหมือนเธอจะดุร้ายมากจริงๆ
แต่เป็นเพราะเขารังแกกันก่อนนี่นา
ช่างเถอะๆ ไม่สนใจแล้ว! คนเขากระอักเลือดแล้วนี่นา!
หลินเยียนไม่สนแล้วว่าใครจะเป็นคนผิด รู้เพียงว่าชั่วพริบตาที่เห็นเผยอวี้เฉิงกระอักเลือดด้วยสีหน้าอ่อนระโหยโรยแรง เธอก็ไม่รู้สึกโมโหอะไรอีกแล้ว
เผยอวี้เฉิงดูเหมือนจะยังปฏิเสธการสัมผัสของหลินเยียนเล็กน้อย เพียงแต่เมื่อหลินเยียนประคองเป็นครั้งที่สาม ในที่สุดเขาก็ไม่ขยับตัวอีก
ดังนั้นหลินเยียนจึงรีบประคองเผยอวี้เฉิงไปนั่งลงบนโซฟาด้วยความระมัดระวัง จากนั้นก็ใช้มือน้อยลูบหลังเขาลงครั้งแล้วครั้งเล่า “นายดีขึ้นบ้างหรือยัง?”
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด…
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด…
นาฬิกาข้อมือเผยอวี้เฉิงยังคงส่งเสียงเตือนเร่งเร้าดังเดิม เพียงแต่ความถี่กลับเหมือนว่าจะช้าลงไปไม่น้อย
นาฬิกาข้อมือนี่มันอะไรกันแน่นะ ทำให้คนอกสั่นขวัญหายอยู่ตลอดเชียว!
หลินเยียนมองนาฬิกาข้อมือเรือนนั้นด้วยความรำคาญใจ จากนั้นก็มองไปที่เผยอวี้เฉิงทันที
เวลานี้เห็นเพียงชายหนุ่มเสื้อผ้ายุ่งเหยิง บนเส้นผมเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น ใบหน้าอันหล่อเหลานั้นก็ยิ่งซีดเผือดและอ่อนระโหยโรยแรง ดวงตาใต้แว่นตากรอบทองหลับสนิท กำลังนอนหายใจรวยรินอยู่บนโซฟา
ความรู้สึกผิดบาปภายในใจหลินเยียนพลันเอ่อท้นขึ้นมา
เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าเนี่ย!
เห็นๆ อยู่ว่าเธอเป็นคนที่ถูกรังแกคนนั้นต่างหาก แล้วทำไมกลับเหมือนเขาถูกปู้ยี่ปู้ยำเสียอย่างนั้นล่ะ
ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้หลินเยียนก็ไม่กล้าพูดจาแรงๆ ออกมาอีกแม้แต่ประโยคเดียวแล้ว ในสมองกลับมีแต่เรื่องที่เธอเป็นฝ่ายทำให้คนเขาโมโหจนกระอักเลือด!
สรุปแล้วปลอบใจเขาก่อน จากนั้นค่อยว่ากันทีหลังก็แล้วกัน
หลินเยียนยอมลดท่าที ตบหลังเผยอวี้เฉิงเบาๆ ไปพลางพูดด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนอย่างยิ่งไปพลาง “อย่าโกรธเลยนะ โอเคไหม? ฉันสำนึกผิดแล้ว…จริงๆ นะ”
ถึงเธอจะไม่รู้ว่าตัวเองผิดตรงไหนก็ตามทีเถอะ
ไม่สนใจว่าผิดตรงไหนแล้ว อย่างไรเสียการขอโทษก็คือเรื่องที่ถูกต้อง!