ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 1011 โปรดเคารพตัวเอง
จิ้นเฟิงเฉินคิดไม่ถึงว่าเธอจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา ใบหน้านิ่งขรึมขึ้นในทันใด
ซ่างกวนหยวนกระตุกมุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย สายตาจับจ้องไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา “ประธานจิ้น คุณคิดว่าฉันพูดถูกไหมคะ?”
ความเยือกเย็นปรากฏขึ้นในดวงตา ริมฝีปากบางของจิ้นเฟิงเฉินขยับเบาๆ น้ำเสียงเย็นยะเยือกราวกับความเย็นของฤดูหนาวในเดือนสิบสอง “สื้อสื้อเห็นคุณเป็นเพื่อน คุณไม่รู้สึกว่าการที่คุณพูดแบบนี้มันดูไม่เหมาะบ้างเหรอ?”
“ก็เพราะว่าเป็นเพื่อน ฉันถึงกล้าพูดแบบนี้ คนเราต้องรับรู้ความเป็นจริงไม่ใช่เหรอ?”
ซ่างกวนหยวนไม่รู้สึกว่าตัวเองผิดอะไรตรงไหน ท่าทางมั่นอกมั่นใจสุดๆ
จิ้นเฟิงเฉินชักริมฝีปากเยาะเย้ย “เรื่องของผมกับสื้อสื้อยังไม่ถึงคราวที่คุณจะมาสอดปากสอดคำ ขอคุณหนูซ่างกวนโปรดเคารพตัวเองด้วยนะครับ”
ทันทีที่พูดจบเขาก็เดินก้าวยาวไปทางเจียงสื้อสื้อทันที ทิ้งไว้เพียงแผ่นหลังอันแสนเย็นชาไว้ให้เธอ
ซ่างกวนหยวนกำแก้วไวน์ในมือแน่น ใบหน้าไม่ยินดียินยอม
เธอโดดเด่นกว่าเจียงสื้อสื้อ เหมาะสมกับเขากว่าเจียงสื้อสื้อ แต่ทำไมในสายตาเขาถึงมองเห็นแค่เจียงสื้อสื้อแค่คนเดียว
ไม่น่ายอมจริงๆ!
“เจอเรื่องเหนือความคาดหมายเข้าอีกแล้วล่ะสิ”
เสียงถากถางเสียงหนึ่งดังเข้ามาในหู ซ่างกวนหยวนเหล่มองคนคนนั้นปราดหนึ่ง แล้วก็เบือนหน้าหนีไม่อยากสนใจเขา
ซ่างกวนเชียนชักริมฝีปากขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ “หยวนหยวน ฉันว่าเธอยอมแพ้เถอะ จิ้นเฟิงเฉินไม่มีทางชอบเธอหรอก”
“หุบปาก!”
ซ่างกวนหยวนหันกลับมาตะโกน สายตาจ้องมองเขาอย่างเดือดดาล “เรื่องของฉันยังไม่ถึงคราวที่นายจะเข้ามาวาดมือวาดเท้า”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?” ซ่างกวนเชียนพูดหน้านิ่ง “อย่าลืมสิ ว่าฉันเป็นพี่ชายของเธอ”
“พี่ชาย?” ซ่างกวนหยวนหัวเราะเยาะ “อย่างนายนับเป็นพี่ชายที่ไหนกัน นายมันก็แค่เด็กกำพร้าที่ตระกูลซ่างกวนรับมาเลี้ยง”
คำพูดนี้โหดร้ายราวกับมีดเล่มหนึ่งกรีดลึกเข้าไปในหัวใจของซ่างกวนเชียน ผ่านมาหลายปี แต่เธอก็ยังรู้ดีว่าทำอย่างไรถึงจะทำร้ายหัวใจของเขา
ซ่างกวนเชียนจิบไวน์ในมือเล็กน้อย กระตุกริมฝีปากขึ้น “ไม่ว่าเธอจะยอมรับหรือไม่ยอมรับ ยังไงฉันก็เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลซ่างกวน เป็นพี่ชายของเธอ สถานะนี้ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
“แล้วแต่นาย”
ซ่างกวนหยวนหันตัวก้าวยาวเดินจากไป
มองตามแผ่นหลังบอบบาง ซ่างกวนเชียนเงยหน้าขึ้นกระดกไวน์ที่เหลือเข้าปากจนหมด แอลกอฮอล์เย็นๆ ไหลจากคอลงท้อง สะเทือนกระเพาะของเขาที่ไม่ได้ทานอาหารเลยตลอดทั้งวัน
เขากดท้องตรงส่วนกระเพาะโดยไม่รู้ตัว คิ้วขมวดเข้าหากัน
“คุณซ่างกวน คุณไม่สบายท้องเหรอคะ?”
น้ำเสียงนุ่มนวลดังเข้ามาในหู ซ่างกวนเชียนหันมอง เห็นจิ้นเฟิงเฉินกับเจียงสื้อสื้อที่ไม่รู้มาอยู่ข้างตัวเขาตั้งแต่เมื่อไหร่
เขารีบวางมือลง แล้วพูดตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่สบายนิดหน่อยครับ แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง”
สีหน้าของเขาดูไม่เหมือนคนที่ไม่เป็นไรเลยสักนิด เจียงสื้อสื้อร้องเรียกคนรับใช้ “ช่วยไปหยิบยากระเพาะมาให้ฉันหน่อย”
เมื่อซ่างกวนเชียนได้ยินดังนั้น เขาก็รีบโบกไม้โบกมืออย่างรวดเร็วพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องยุ่งยากหรอกครับ ผมไม่เป็นไร”
เจียงสื้อสื้อเพิกเฉยต่อคำพูดของเขา “ไปเอามาเถอะ”
เมื่อคนใช้รีบร้อนเดินออกไปแล้ว เธอถึงพูดขึ้นว่า “คุณซ่างกวน ฉันเข้าใจดีค่ะว่ากระเพาะไม่สบายมันทรมานมากแค่ไหน ฉะนั้นกินยาเสียหน่อยคงจะดีกว่านะคะ”
ซ่างกวนเชียนเหลือบมองจิ้นเฟิงเฉิน แล้วยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ผมเป็นโรคกระเพาะบ่อย ชินไปนานแล้วล่ะครับ”
“ยิ่งปวดกระเพาะบ่อย ยิ่งต้องควรระวังเลยค่ะ” เจียงสื้อสื้อชี้ไปทางโซนอาหารบุฟเฟ่ต์ที่อยู่ไม่ไกล “เดี๋ยวคุณทานอะไรรองท้องก่อนนะคะ แล้วค่อยทานยา ส่วนไวน์อย่าดื่มอีกเลยค่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่างกวนเชียนก็ยิ่งลึกเข้าไปอีก “ประธานจิ้น ปกติคงถูกคุมไม่น้อยเลยใช่ไหม?”
การเย้าแหย่ของเขาทำให้เจียงสื้อสื้อตระหนักได้ว่าตัวเองก้าวก่ายมากเกินไปแล้วจริงๆ จึงเก้อเขินขึ้นมาทันที “คุณซ่างกวน อย่าเข้าใจฉันผิดนะคะ ฉันแค่…”
พูดยังไม่ทันจบก็ถูกซ่างกวนเชียนขัดจังหวะเสียก่อน “ผมไม่ได้เข้าใจผิด ผมรู้ว่าคุณมีเจตนาดี”
“ถ้าไม่สบายจริงๆ ก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ” จิ้นเฟิงเฉินเอ่ยปากพูดขึ้นอย่างหาได้ไม่บ่อยนัก
ซ่างกวนเชียนพยักหน้า “โอเค”
หลังจากซ่างกวนเชียนทานยาแล้ว แต่อาการปวดกระเพาะยังไม่ทุเลาลงเลย จึงพาซ่างกวนหยวนกลับไปก่อน
จิ้นเฟิงเฉินและเจียงสื้อสื้อออกมาส่งพวกเขาที่หน้าประตู มองส่งรถของพวกเขาขับออกไปไกล ถึงหันตัวเดินกลับเข้าในอาคาร
“ทำไมฉันรู้สึกว่าหยวนหยวนอารมณ์ไม่ค่อยดีเลย” เมื่อเจียงสื้อสื้อนึกถึงซ่างกวนหยวนที่ไม่แยแสตนเองเลยเมื่อครู่นี้ ก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างช่วยไม่ได้
จิ้นเฟิงเฉินเคืองขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวออกมานิ่งๆ ว่า “คงจะเป็นห่วงพี่ชายของเธอนั่นแหละ”
เจียงสื้อสื้อเอียงศีรษะถาม “ใช่เหรอ ทำไมดูไม่เหมือนเลยล่ะ?”
กลับกันกลับดูเหมือนว่าเธอไปทำอะไรให้เธอขุ่นเคืองยังไงอย่างนั้น ไม่มีความเป็นมิตรเหมือนอย่างก่อนหน้านี้เลย
“สื้อสื้อ” จิ้นเฟิงเฉินหยุดฝีเท้ากะทันหัน
เจียงสื้อสื้อก็ชะงักฝีเท้าหยุดตาม พลางมองเขาอย่างงุนงงสงสัย “เป็นอะไรไปเหรอ?”
“ต่อไปติดต่อกับซ่างกวนหยวนให้น้อยหน่อยนะ”
“ทำไมล่ะ?” เจียงสื้อสื้อไม่เข้าใจทำไมจู่ๆ เขาถึงพูดแบบนี้
จิ้นเฟิงเฉินไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง “เธอไม่ได้เรียบๆ ง่ายๆ เหมือนอย่างที่แสดงออกขนาดนั้น ฉันกลัวว่าเธอจะถูกทำร้ายเอา”
ทันทีที่เจียงสื้อสื้อก็หัวเราะออกมาเหมือนกำลังฟังเรื่องตลกอยู่ก็ไม่ปาน “เฟิงเฉิน คุณคิดมากเกินไปหรือเปล่า? หยวนหยวนจะทำร้ายฉันได้ยังไง? เธอเป็นเพื่อนในเมืองหลวงเพียงคนเดียวของฉันนะ”
“เพื่อนมีทั้งจริงใจและไม่จริงใจ เธอคิดว่าเธอจริงใจหรือเปล่า?” จิ้นเฟิงเฉินถาม
“แน่นอน…” เจียงสื้อสื้อกำลังจะโพล่งพูดออกมา แต่เมื่อนึกถึงท่าทีของซ่างกวนหยวนเมื่อครู่แล้ว เธอก็เริ่มลังเล
จิ้นเฟิงเฉินจับไหล่ของเธอไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง โน้มตัวลงเล็กน้อย มองตรงเข้าไปในดวงตาใสสะอาดของเธอ พูดออกมาอย่างจริงจังทีละคำๆ “อยู่ให้ห่างจากเธอ เธอกับเธอไม่เหมือนกัน”
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆ เขาถึงพูดแบบนี้ แต่เจียงสื้อสื้อรู้ว่าที่เขาพูดแบบนี้เขามีเหตุผลของเขาอยู่
ดังนั้นเธอจึงพยักหน้า “โอเค ฉันเข้าใจแล้ว ต่อไปฉันจะพยายามไม่ไปมาหาสู่กับเธอ”
จิ้นเฟิงเฉินยิ้ม ยกมือขึ้นลูบหัวเธอ “ดีมาก”
เจียงสื้อสื้อทำหน้ามุ่ย พึมพำอย่างไม่พอใจ “ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ คุณอย่าลูบหัวฉันแบบนี้สิ”
จิ้นเฟิงเฉินยิ้มและไม่ได้พูดอะไรอีก
…
ภายในตึกสำนักงานฟางซื่อเงียบสงัด แตกต่างไปจากความครึกครื้นภายในงานเลี้ยงฉลองวันเกิด
ในห้องทำงานของประธาน ฟางยู่เชินเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายใจ ยกมือขึ้นเพื่อดูนาฬิกาครั้งแล้วครั้งเล่า
“ทำไมยังไม่มีข่าวคราวอีก?” เขาคลายเนกไทอย่างหงุดหงิด
ในขณะนั้นเอง ประตูห้องทำงานก็ถูกคนเปิดเข้ามาจากด้านนอก ส้งหยาวรีบเดินเข้ามาอยู่ข้างเขา
“ท่านประธาน คนถูกพาตัวมาแล้วครับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฟางยู่เชินก็พูดขึ้นทันที “พาเขาเข้ามา”
ส้งหยาวรับคำสั่งเดินออกไป หลังจากนั้นไม่นานก็พาชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามา
ดวงตาของชายคนนั้นหมุนมองไปรอบๆ ท่าทางดูกังวลมาก
ฟางยู่เชินเดินเข้าไปหาเขา คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “คุณคือย่วนชิงโซง?”
ชายคนนั้นกลืนน้ำลาย “ใช่ฉันเอง”
“คุณกับฟางอี้หมิงมีความสัมพันธ์อะไรกัน?” ฟางยู่เชินถามอีกครั้ง
ชายคนนั้น ย่วนชิงโซงจู่ๆ ก็ยิ้มออกมา “นายรู้มานานแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องมาถามฉันอีก”
ฟางยู่เชินพยักหน้า “คุณพูดถูก ผมไม่ควรถาม ถ้าอย่างนั้นผมขอถามคุณ ช่วงก่อนหน้านี้คุณเป็นคนยื่นรายงานส่งออกยาใช่ไหม?”
สายตาของย่วนชิงโซงเลื่อนขึ้นอย่างรวดเร็ว “ฉันไม่รู้ว่านายกำลังพูดถึงอะไร”
“ไม่รู้?” ฟางยู่เชินหัวเราะเยาะเย้ย “ถ้าอย่างนั้นคุณลองดูสิว่านี่มันคืออะไร” เขาโยนใบรายชื่อรายงานการส่งออกที่ส้งหยาวรวบรวมมาก่อนหน้านี้ให้เขา