ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 1040 ผมกลัวว่าจะเห็นคุณร้องไห้
ฟางอี้หมิงเหลือบมองหยางจื่อเฉิน ส่วนหยางจื่อเฉินก็ก้มหน้าลงไป
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พูดอย่างสงบนิ่งว่า“อาจจะชื่อนามสกุลเหมือนกันก็ได้”
รู้แต่แรกว่าเขาต้องพูดแบบนี้ ฟางยู่เชินยิ้ม “ผมก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่ เพราะคุณลุงไปโอนเงินที่ธนาคารด้วยตนเอง”
“ฉันไม่รู้เรื่องนี้”
เขาไม่สามารถอธิบายได้เลย ดังนั้นจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้เหรอ
ฟางยู่เชินยักคิ้ว “ได้ พี่ไม่รู้ งั้นผมให้คุณลุงมาที่นี่ ผมคิดว่าเขาคงจะรู้นะ”
“ฟางยู่เชิน นายอย่าทำเกินไปนะ!” อารมณ์ฟางอี้หมิงคุกรุ่นขึ้นมา เขาชี้ไปที่หยางจื่อเฉิน “ย่าเขาไม่มีเงินรักษาตัวที่โรงพยาบาล พ่อฉันก็ใจดีช่วยเหลือเขาไม่ได้หรือไง นายจะต้องคิดว่าคนเราต้องชั่วร้ายขนาดนั้นใช่มั้ย”
“ผมไม่ได้พูดว่าไม่ได้ แต่ผมมีสิทธิ์ที่จะรู้ความจริง”
พูดจบ ฟางยู่เชินล้วงโทรศัพท์ออกมาเตรียมจะโทรหาหางเฉิง
เวลานี้ หยางจื่อเฉินที่นิ่งเงียบมาตลอดก็พูดออกมา
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณอาและพี่ฟาง ผมเป็นคนทำอย่างนั้นเอง”
ได้ยินประโยคนี้ ฟางอี้หมิงแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ดูท่าแล้วหยางจื่อเฉินคิดจะแบกรับเรื่องนี้เอาไว้เองทั้งหมด
ฟางยู่เชินและสารวัตรเฉินสบตากัน สารวัตรเฉินพูดว่า “หยางจื่อเฉินนายรู้มั้ยว่านายทำแบบนี้ต้องเจอกับการลงโทษแบบไหนมั้ย”
หยางจื่อเฉินนิ่งเงียบ
“ทางที่ดีที่สุดนายคิดทบทวนดูให้ดี ถ้านายยังยืนกรานว่านายเป็นคนทำเองคนเดียว ไม่มีใครบงการ อย่างนั้นนายก็ต้องชีวิตนี้อยู่ในคุก”
พูดมาถึงตรงนี้ ฟางยู่เชินหันหน้ามามองฟางอี้หมิง
สีหน้าท่าทางภายนอกของฟางอี้หมิงช่างทำให้คนไม่พอใจอย่างมากจริงๆ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกไป สะกดกลั้นไฟโกรธในใจ พูดต่อว่า “นายอายุแค่สิบเก้า ชีวิตนี้ควรจะได้มีสีสันขนาดไหน แล้วนึกถึงปู่ย่าของนายด้วย พวกเขาลำบากเลี้ยงดูนายจนโต นายจะตอบแทนพวกเขาอย่างนี้เหรอ“
หยางจื่อเฉินหลับตา มือที่วางอยู่บนโต๊ะกำหมัดแน่น
นี่เขากำลังดิ้นรนขัดขืน
ถ้าเขายังยืนกรานที่จะแบกรับเรื่องนี้ อย่างนั้นไม่ว่าทางตำรวจหรือฟางยู่เชินจะทำอย่างไรก็ทำไม่ได้
เพราะอย่างนี้ ฟางยู่เชินจึงโกรธแค้นฟางอี้หมิง
ที่ทำให้เด็กอายุเพียงสิบเก้าปีคนหนึ่งต้องแบกรับความผิด จิตใจช่างโหดเหี้ยมจริงๆ!
ในห้องสอบสวนเงียบมาก ทุกคนต่างรอคำตอบของหยางจื่อเฉิน
พักใหญ่หยางจื่อเฉินค่อยๆลืมตา มือก็คลายออกตาม เขาค่อยเอ่ยปากว่า “ผมได้พบคุณอาฟางที่โรงพยาบาล เขาเห็นผมน่าสงสาร ก็เลยเสนอว่าจะช่วยจ่ายค่ารักษาพยาบาลของย่าให้ก่อน”
“ตอนแรกผมปฏิเสธความหวังดีของเขาแล้ว แต่เขาก็ยืนยันจะช่วย จึงโอนเงินให้ผมก้อนหนึ่ง ผมบอกเขาว่า นี่เป็นเงินที่ผมขอยืมเขา ต่อไปจะต้องคืนให้เขาแน่นอน”
“เขากลับบอกให้ผมไม่ต้องกดดัน ไม่คืนก็ได้ บุญคุณมากมายขนาดนี้ ผมก็ไม่รู้ว่าจะตอบแทนอย่างไร”
“ต่อมา เขาพูดถึงเรื่องหลี่เผิง บอกว่ากลัวว่าถ้าหลี่เผิงฟื้นขึ้นมาจะทำร้ายพี่ฟาง ผมก็เลยช่วยเขากำจัดหลี่เผิง ถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณของเขา”
……
เขาเล่าพลางร้องไห้ไปพลาง ดูแล้วจริงใจ ไม่เหมือนกำลังพูดโกหก
แต่ฟางยู่เชินรู้ ที่เขาพูดมานั้นไม่ใช่ความจริงทั้งหมด
ฟางเฉิงและฟางอี้หมิงก็ไม่เคยเป็นคนจิตใจดีมาก่อน จะยื่นมือช่วยเหลือคนอื่นอย่างไม่มีเหตุผลได้อย่างไร
แต่เขาก็ไม่สามารถไปบีบบังคับหยางจื่อเฉินให้ยอมรับว่าฟางอี้หมิงเป็นคนบงการได้
ดูท่าอุบายที่ใช้วันนี้จะเสียแรงเปล่าแล้ว
“ผมก็บอกแล้ว ว่าพ่อฉันไม่มีทางทำเรื่องเลวร้ายแบบนั้น” สุดท้ายฟางอี้หมิงก็กล้าที่จะพูดประโยคนี้แล้ว
เขาหันหน้าไปมองฟางยู่เชิน มุมปากยกขึ้น “ยู่เชิน นายใส่ร้ายฉันไม่ว่า นี่นายกล้าให้ร้ายพ่อของฉัน เขาเป็นญาติอาวุโสของนายนะ นายทำเกินไปแล้วจริงๆ”
ได้ยินดังนั้น ฟางยู่เชินอดหัวเราะไม่ได้ รอยยิ้มกลับไม่ได้เยือกเย็นเหมือนนัยน์ตา “พี่ อย่าเพิ่งรีบออกตัวเร็วขนาด ความจริงเป็นอย่างไร ในใจคุณรู้ดี อย่าคิดว่าลากเด็กอายุสิบเก้าปีมารับผิดแทน แล้วพวกคุณก็จะสามารถอยู่ได้อย่างสงบปลอดภัย”
ทั้งสองคนสบตากัน ไม่มีใครยอมถอย
สุดท้าย ก็ยังมีสารวัตรเฉินพูดตัดบทว่า “คดีนี้พวกเราจะสืบสวนให้กระจ่างต่อไป ให้ผลเป็นที่น่าพอใจกับทุกคน”
“สารวัตรเฉิน รบกวนพวกคุณแล้ว”
ฟางยู่เชินหันไปมองหยางจื่อเฉิน ถอนหายใจออกมาจากริมฝีปาก “เด็กน้อย นายช่างโง่เหลือเกิน นายก็มีครอบครัว นายทำแบบนี้ไม่คุ้ม นึกถึงคนในครอบครัวให้มากๆ”
“ฟางยู่เชิน แกอย่ามาชี้นำเขาอีก!” ฟางอี้หมิงขู่ตะคอก “ฉันรู้ว่าแกไม่พอใจฉันมาตลอด แต่ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีสกปรกแบบนี้มาเล่นงานฉัน”
“พี่!” น้ำเสียงของฟางยู่เชินเปลี่ยนเป็นหนักขึ้น สายตาเย็นยะเยือกสาดไปยังฟางอี้หมิง “พี่ได้โปรดจำไว้ว่า กระดาษห่อไฟไม่ได้”
ฟางอี้หมิงโกรธจนพูดไม่ออก ได้แต่ถลึงตาใส่เขา
เดิมคิดว่าเผชิญหน้ากัน อาจจะได้ผลที่ดี
ใครจะไปรู้ ไม่เพียงคว้าน้ำเหลว ยังทำให้หยางจื่อเฉินแบกรับเรื่องทั้งหมดไว้ด้วย
“ปัง!”
ฟางยู่เชินนั่งอยู่ภายในรถ กำพวงมาลัยรถแน่น พิงร่างไปพนักพิงด้านหลัง เงยหน้า หลับตาลง คิ้วขมวดแน่น
ถ้าหยางจื่อเฉินไม่ยอมเปลี่ยนคำให้การ อย่างนั้นก็ทำอะไรฟางอี้หมิงไม่ได้
นึกถึงรอยยิ้มสะใจตอนที่ฟางอี้หมิงจากไปนั้น เขาก็โกรธจนแทบจะพ่นไฟ
ไอ้หมอนั่นก็คงคิดว่าตนเองทำอะไรเขาไม่ได้ จึงกล้ามาเผชิญหน้ากับหยางจื่อเฉินที่สถานีตำรวจ
ที่จิ้นเฟิงเฉินพูดไม่ผิด เขายังเด็กเกินไป
คิดมาถึงตรงนี้ เขายกมือขึ้นมาปิดตา พยายามคิดว่าต่อไปจะทำอย่างไรดี
……
ทางนี้ เจียงสื้อสื้อตื่นแต่เช้าตรู่ ช่วยจิ้นเฟิงเฉินจัดเก็บสัมภาระ
เขาต้องกลับเมืองจิ่นแล้ว
“ฉันส่งคุณไปที่สนามบินนะคะ” เจียงสื้อสื้อพูดอย่างยังคงทำใจไม่ได้
จิ้นเฟิงเฉินโอบกอดเธอเอาไว้ “ไม่ต้องแล้ว มีคนขับรถไปส่งก็พอแล้ว”
“แต่ฉันอยากไปส่งคุณ” เจียงสื้อสื้อซุกศีรษะเข้าไปในอ้อมกอดเขา เสียงอู้อี้ ฟังแล้วอารมณ์หดหู่อยู่บ้าง
จิ้นเฟิงเฉินปล่อยเธอ ก้มศีรษะ
ดวงตาสี่ดวงประสานกัน
ยกมือขึ้นเอาผมที่หลุดออกมาตรงแก้มเธอเหน็บไว้ที่ข้างใบหู เขาพูดเบาๆว่า “ผมกลัวที่ต้องเห็นคุณร้องไห้ อย่างนั้นผมก็ตัดใจไปไม่ได้”
ได้ยินประโยคนี้ ขอบตาของเจียงสื้อสื้อก็แดงก่ำขึ้นมาทันทีเลย เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ เอาน้ำตากลับเข้าไป “ฉัน……ฉันจะไม่ร้องไห้”
พอพูดจบ ก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ร่วงออกมา
จิ้นเฟิงเฉินยิ้มอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร “ยังจะบอกว่าไม่ร้องอีก”
หลังจากช่วยเธอปาดน้ำตาแล้ว เขาก็เอาเธอมากอดไว้ในอ้อมอกอีกครั้ง มือใหญ่นวดคลึงที่เส้นผมนุ่มของเธอเบาๆ “คุณรออยู่ที่บ้านตระกูลฟางอย่างเชื่อฟัง รอจนผมทำธุระเสร็จแล้ว ผมก็จะมารับคุณกลับไป”
เสียงของเขาอ่อนโยนมาก ก็เหมือนกับว่ากำลังปลอบเด็กอายุสามสี่ขวบ
แม้เขาจะพูดเช่นนี้ แต่เจียงสื้อสื้อก็ยังไม่อยากแยกจากเขา
“ฉันจะกลับไปเมืองจิ่นพร้อมคุณ” เจียงสื้อสื้อพูด
“ยัยบ๊อง คุณกลับไปกับผมแล้ว ผมก็ไม่สามารถจัดการธุระอย่างมีสมาธิได้”
เจียงสื้อสื้อทำปากจู๋ พูดอย่างไม่พอใจว่า “คุณกำลังรังเกียจที่ฉันจะทำให้คุณเสียงานเหรอ”
จิ้นเฟิงเฉินกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “ไม่ได้รังเกียจ ผมก็แค่อยากจัดการธุระให้เสร็จเร็วๆ จากนั้นก็จะมาอยู่เป็นเพื่อนคุณ”
“ฉันเข้าใจแล้ว”
เจียงสื้อสื้อหน้ามุ่ย ออกจากอ้อมกอดเขา มองเขาอย่างจริงจัง “ฉันจะรอคุณ”
จิ้นเฟิงเฉินยิ้มพลางพยักหน้า “ได้”
ไปส่งเขาที่สนามบินไม่ได้ ก็ได้แต่ส่งเขาที่ประตูบ้าน มองดูเขานั่งรถ มองรถที่ค่อยๆขับไกลออกไป จนกระทั่งลับสายตา
เจียงสื้อสื้อจึงละสายตาอย่างไม่เต็มใจนัก หมุนตัวกลับเข้าบ้าน