ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 1045 ดีกว่าต้องแยกจากกันไปตลอดกาล
ทางด้านจิ้นเฟิงเฉินมาถึงซิซิลีประเทศอิตาลีแล้ว
เห้อซูหานมารับเขาที่สนามบิน ทันทีที่ขึ้นรถ เขาก็เอ่ยถามขึ้นทันทีว่า “หาสถาบันวิจัยของศาสตราจารย์คูรี่เจอแล้วหรือยัง?”
“ยังเลยครับ” เห้อซูหานเหลือบมองจิ้นเฟิงเฉินในกระจกมองหลังปราดหนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “พวกเราสงสัยว่าศาสตราจารย์คูรี่กับทีมของเขาอาจจะไม่ได้อยู่ในอิตาลี”
จิ้นเฟิงเฉินขมวดคิ้ว “ยังไง”
“เพราะพวกเราค้นหามาหลายที่มาก จนแทบจะพลิกหาทั้งอิตาลีแล้ว แต่ก็ไม่เจอศาสตราจารย์คูรี่เลย”
“ดังนั้นพวกนายเลยสงสัยว่าจะไม่ได้อยู่ในอิตาลี?”
เห้อซูหานพยักหน้า “ใช่ครับ”
จิ้นเฟิงเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย “ที่ที่อันตรายที่สุด คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด บางทีก็อาจจะอยู่ใกล้ๆ”
“คุณชาย คุณหมายถึงว่าอาจจะอยู่ใกล้ๆ กับสถาบันวิจัยเหล่านั้น?”
“พวกนายลองหาอย่างละเอียดดูอีกครั้ง คงจะพบเห็นอะไรบ้าง” จิ้นเฟิงเฉินกล่าว
“ครับ หลังจากส่งคุณถึงโรงแรมแล้ว ผมจะรีบไปตรวจสอบทันที”
หลังจากนั้นภายในรถก็เงียบลง
จิ้นเฟิงเฉินเอนตัวพิงพนักหลัง หลับตาลงพักผ่อน
เห้อซูหานเหลือบมอง ก่อนจะปรับแอร์ในรถเพิ่มขึ้นอย่างเงียบๆ
เมื่อมาถึงโรงแรม เห้อซูหานเอากระเป๋าเดินทางเข้าไปเก็บไว้ในห้องพัก แล้วกลับออกไปทันที
จิ้นเฟิงเฉินเดินไปนั่งที่โซฟา รอบด้านเงียบสงัด เขาเงียบและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรออก
ปลายสายกดรับสายอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยเสียงที่ดังสะท้อนขึ้นอย่างสงสัย “จิ้นเฟิงเฉิน ทำไมถึงมีเวลาติดต่อมาหาฉันล่ะ?”
“ฉันอยู่ที่อิตาลี” คำพูดถูกพ่นออกจากริมฝีปากบาง
“นายอยู่อิตาลี? นายอย่ามาโกหกฉันนะ!” คนทางนั้นแสดงออกว่าไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด
จิ้นเฟิงเฉินลุกขึ้น เดินไปที่ริมหน้าต่าง กวาดมือเปิดผ้าม่านออก แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาภายในพริบตา เขามองดูวิวบนถนนด้านนอก มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย
“ชีซา สนใจร่วมงานกับฉันไหม?”
…
ชีซาวางสายโทรศัพท์ ขับรถไปถึงที่โรงแรมรวดเร็วดุจสายลม
โชคดีที่ตอนนี้มีรถไม่มากนัก บนท้องถนนมีรถอยู่ไม่มาก ใช้เวลาเพียงสิบกว่านาทีก็ขับถึงโรงแรมแล้ว
ตอนที่จิ้นเฟิงเฉินเปิดประตูออกมาเห็นเธอ เขาก็แปลกใจเล็กน้อย “ทำไมเธอเคลื่อนไหวเร็วขนาดนี้?”
“คนอย่างนายมาถึงที่อิตาลีทั้งที ในฐานะเพื่อนเก่าของนาย ยังไงก็ต้องรีบมาดูนายหน่อยสิ”
จิ้นเฟิงเฉินเลิกคิ้ว ไม่ได้รับคำต่อ
เขาเดินมานั่งที่โซฟา ขาเรียวยาวไขว้เข้าหากัน ปล่อยร่างจมลงในโซฟา แผ่กระจายไอความเหนื่อยหน่ายเฉื่อยชาออกมารอบๆ ตัว
ชีซาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เดินไปนั่งตรงข้ามเขา ริมฝีปากแดงโค้งขึ้น “ว่ามาสิ นายมาอิตาลีครั้งนี้มาทำอะไร?”
“เธออยากดื่มอะไรหยิบเองเลยนะ”
เมื่อจู่ๆ จิ้นเฟิงเฉินก็พูดประโยคนี้ขึ้นมา ชีซานิ่งอึ้งไป ก่อนจะได้สติและส่ายหน้าพลางหัวเราะออกมา “นิสัยตอบไม่ตรงคำถามของนายนี่นะ ยอมนายเลยจริงๆ”
ขณะที่พูดเธอก็ลุกขึ้นเดินไปที่บาร์ด้านข้าง พลางเอ่ยถาม “นายอยากดื่มอะไร?”
“กาแฟ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ชีซาจึงหันกลับมามองเขาปราดหนึ่ง “นายกินข้างแล้วหรือยัง?”
“ยัง”
“ไม่กินข้างแล้วยังจะกล้าดื่มกาแฟอีก กระเพาะนายไม่อยากมีแล้วหรือไง?”
ชีซาช่วยอุ่นนมให้เขาหนึ่งแก้ว และชงกาแฟให้ตัวเองอีกหนึ่งแก้ว
“เอาไป ดื่มนมเลย” ชีซายื่นนมให้เขา
“นายน่ะ ต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ ไม่อย่างนั้นเมียนายที่อยู่จีนจะเป็นห่วงเอาได้” ชีซานั่งลง พูดกึ่งล้อเล่นกึ่งจริงจัง
“ขอบใจ” จิ้นเฟิงเฉินดื่มนมลงไป
ชีซามองเขา “ตอนนี้นายจะบอกฉันได้หรือยัง ว่านายมาที่อิตาลีคิดจะทำอะไรกันแน่?”
จิ้นเฟิงเฉินเหลือบตาขึ้นมองเธอ “อยากรู้?”
“นี่นายถามไร้สาระอะไรเนี่ย นายถามฉันทางโทรศัพท์ว่าสนใจอยากจะร่วมมือกับนายไหม ถ้าอย่างนั้นฉันก็ควรจะรู้สักหน่อยไหมว่าร่วมมืออะไร?”
จิ้นเฟิงเฉินหรี่ตาลง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นช้าๆ ว่า “ฉันมาครั้งนี้ เพราะอยากจะเอายากำจัดไวรัสจากเบอร์เกนให้ได้”
ชีซาเบิกตากว้าง “นายบ้าไปแล้วเหรอ นายรู้หรือเปล่าว่าเบอร์เกนเป็นใคร?”
“แน่นอนฉันรู้”
อำนาจของเบอร์เกนในอิตาลี เทียบเท่ากับอำนาจของเขาในประเทศจีนเลยนะ รับมือไม่ได้ง่ายๆ เลย
“ในเมื่อนายรู้ แล้วทำไมถึงอยากจะเสี่ยงอันตรายครั้งนี้อีก?” ชีซาไม่สามารถเข้าใจได้เลย
“สื้อสื้อรอต่อไปไม่ไหวแล้ว”
น้ำเสียงของเขาเคร่งขรึมมาก แฝงไว้ด้วยความอัดอั้นตันใจจนทำเอาคนหายใจไม่ออก
ชีซาไม่รู้จะพูดอะไรอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
บรรยากาศรอบตัวเงียบสงัดราวกับก้าวเข้าสู่ความตายแล้วก็ไม่ปาน
จิ้นเฟิงเฉินก้มศีรษะลง ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงปกคลุมไปทั่วร่างกาย
เขาจิตใจฮึกเหิมมีพลังมาโดยตลอด น้อยมากที่จะเห็นเขาอยู่ในสภาพแบบนี้
เธอรู้ว่าความรู้สึกที่เขามีต่อเจียงสื้อสื้อนั้นลึกซึ้งมากขนาดไหน ชีซาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “นายอยากให้ฉันช่วยยังไง พูดมาตามตรงเถอะ”
น้ำเสียงอบอุ่น จิ้นเฟิงเฉินเงยหน้าขึ้น
ชีซาเบะปาก พูดอย่างเคืองๆ “ยังไงซะฉันก็ติดหนี้นายตลอดอยู่แล้ว ฉันไม่ควรรู้จักนาย ไม่ควรจะเป็นเพื่อนกับนายตั้งแต่แรก”
จิ้นเฟิงเฉินหัวเราะเบาๆ “ฟังจากน้ำเสียงของเธอแล้ว ดูเหมือนจะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่เลยนะ”
“รีบพูดเถอะ เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว”
“เส้นสายคอนเนคชั่นของเธอในอิตาลีมีมากกว่าฉัน ช่วยสืบให้ทีว่าศาสตราจารย์คูรี่อยู่ที่ไหน”
ชีซาขมวดคิ้ว “แค่นี้เหรอ?”
“เปล่า ยังมีเรื่องอื่นอีก” จิ้นเฟิงเฉินชะงักไป “พวกเราต้องการโจมตีสถาบันวิจัยเหล่านั้นของเบอร์เกน แต่ไม่อยากให้เขารู้ว่าฉันทำ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ชีซาก็เข้าใจในทันที “นายอยากให้ฉันเป็นแพะรับบาปอีก?”
จิ้นเฟิงเฉินยักไหล่และพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ
“จิ้นเฟิงเฉิน ทำไมนายถึงทำเกินไปได้ขนาดนี้?”
ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ที่รู้จักกันมานานหลายปี เธออยากจะทุบตีเขาหนักๆ สักทีจริงๆ ต้องให้เธอคอยมาเป็นแพะรับบาปทุกครั้ง ทำอยากกับว่าเบอร์เกนจะไม่ตอบโต้?
“ฉันเชื่อใจเธอนะ” จิ้นเฟิงเฉินกล่าว
ชีซาหัวเราะเย้ยหยัน “ฉันไม่ต้องการความเชื่อใจของนาย”
จิ้นเฟิงเฉินเลิกคิ้ว “ดังนั้น…เธอไม่คิดจะช่วยฉันใช่ไหม?”
“ฉันพูดแล้วเหรอ?” ชีซาถอนหายใจออกมาหนักๆ “ฉันไปติดหนี้นายจริงๆ นั่นแหละ แต่ขอเตือนนายเอาไว้ก่อนเลยนะ นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ฉันไม่อยากให้สำนักอู๋ซางกลายเป็นหนามยอกอกของเบอร์เกนหรอกนะ นั่นคือพี่น้องของฉันทั้งนั้นเลยนะ”
“ไม่มีครั้งต่อไปแล้ว” จิ้นเฟิงเฉินกล่าว “ไม่ว่ายังไงก็ขอบคุณนะ”
ชีซาเยาะเย้ยออกมา “ใครอยากได้คำขอบคุณของนาย แค่นายไม่สร้างปัญหาให้ฉัน ฉันก็ราบรื่นทุกอย่างแล้ว”
แม้ว่าเธอจะพูดอย่างนั้น แต่ภายในใจของเธอก็กำลังคิดอยู่ว่าจะช่วยเขาตามหาคนได้อย่างไร
“นายวางแผนจะอยู่ที่อิตาลีนานแค่ไหน?” จู่ๆ ชีซาก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้
“ได้ยาก่อนถึงจะไป”
ครั้งนี้เขามาเพื่อยา ดังนั้นจำเป็นต้องได้ยาก่อนถึงจะกลับไป
“นายยอมจากเจียงสื้อสื้อมาได้ยังไง?” ชีซามองเขาอย่างอยากรู้
“แยกจากกันชั่วคราว ดีกว่าต้องแยกจากกันไปตลอดกาล”
พูดจบ สีหน้าของจิ้นเฟิงเฉินก็ขรึมลงทันที
บรรยากาศค่อนข้างอึดอัดใจ ชีซารู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้แล้ว จึงพูดว่า “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันไปก่อนนะ มีข่าวคราวแล้วฉันจะบอก”
“ขับรถระวังด้วยล่ะ”
ชีซาพยักหน้า และหันหลังเดินออกไป
ห้องขนาดใหญ่เหลือไว้แค่จิ้นเฟิงเฉินเพียงคนเดียว เขามองไปรอบๆ เอนศีรษะพิงกับพนักหลังโซฟา ดวงตาทั้งสองจับจ้องไปที่เพดาน มุมปากกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่กำลังเยาะเย้ยตัวเอง
ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ เพิ่งจะแยกกันไม่เท่าไหร่ ก็เริ่มจะคิดถึงสื้อสื้อแล้ว