ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 1052 ฉันเตือนนายตายใจไปซะเถอะ
อิตาลี
เพื่อที่จะหาที่อยู่สถาบันวิจัยของศาสตราจารย์คูรี่โดยเร็ว จิ้นเฟิงเฉินถึงได้ให้ชีซาช่วยหาที่อยู่ของฝู้จิงเหวินในตอนนี้
เขาอยากได้ข่าวที่เป็นประโยชน์จากฝู้จิงเหวิน
วันนั้น ฝู้จิงเหวินก็ได้กลับไปที่คอนโดของตนตามปกติ
ตอนที่เขาได้เอานิ้ววางบนที่ล็อกสแกนลายนิ้วมือนั้น ก็ได้หันไปมองชายชุดดำที่ได้ห่างจากตัวเองไม่กี่ก้าว
นั้นเป็นคนที่เบอร์เกนส่งมาจับตามองเขา
นี่เป็นผลตอบแทนที่เขาได้เข้าร่วมทีมวิจัยของศาสตราจารย์คูรี่ ไม่มีอิสระแม้แต่น้อย
คิดถึงตรงนี้ ใจในก็ได้หงุดหงิด เขาก็ได้เก็บมือ หันตัว ไปมองชายชุดดำด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“นายหิวไหม?” เขาถาม
“ไม่หิวครับ”
ฝู้จิงเหวินเลิกคิ้ว “ถ้านายหิว ก็ไปกินข้าวเถอะ ฉันก็ไม่ไปไหนหรอก”
ชายชุดดำไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
เห็นแบบนั้น มุมปากของฝู้จิงเหวินก็ได้ชี้ขึ้นราวเยาะเย้ย “ช่างเถอะ คิดว่าฉันไม่เคยพูด”
เขาเปิดประตูเข้าไปในบ้าน
ชายชุดดำไม่ได้ตามเข้าไป แต่เป็นการเดินเข้าใกล้ ยืนอยู่ตรงหน้าประตู ราวกับเทพเฝ้าประตู
ฝู้จิงเหวินก็ได้ถอดเสื้อนอกเสื้อสูทโยนไปบนโซฟา ก็ได้ออกแรงดึงเนกไท ใบหน้าที่หล่อเหลาก็ได้มีความหงุดหงิดอยู่
ไอ้เวรเบอร์เกนไม่เชื่อใจเขาเลยแม้แต่นิด
ต่อให้เข้าร่วมทีมวิจัยของศาสตราจารย์คูรี่ แต่ความลับบางอย่างก็ไม่ให้เขาแตะ
เมื่อไหร่เขาจะได้ข้อมูลหลักมาสักที
เวลานี้ อยู่ๆ โทรศัพท์เขาก็ได้ดัง
เป็นเบอร์แปลก
เขารับ “สวัสดีครับ”
“คุณฝู้ พิซซ่าที่คุณสั่งได้ทำเสร็จแล้ว ไม่ทราบว่าจะให้ไปส่งที่ไหนคะ?”
เสียงปลายสายเป็นเสียงของผู้หญิง
ฝู้จิงเหวินขมวดคิ้ว “ผมไม่ได้……”
ตอนที่เขากำลังจะพูดว่าตนนั้นไม่ได้สั่งพิซซ่า แต่อยู่ๆ ในหัวก็ได้มีความคิดหนึ่งขึ้นมา เปลี่ยนคำพูด “คุณช่วยส่งมาที่……”
เขาก็ได้บอกที่อยู่คอนโดของตนไป
“ค่ะ ดิฉันรีบส่งไปเดี๋ยวนี้”
วางสาย ฝู้จิงเหวินก็ได้เดินไปนั่งที่โซฟา นึกคิดสายที่โทรมาเมื่อกี้
อีกฝ่ายเป็นใครกันแน่?
ผ่านไปประมาณยี่สิบนาที อ๊อดประตูก็ได้ดังขึ้น
ฝู้จิงเหวินก็ได้รีบลุกขึ้นมา ก็ได้เดินไปที่ประตูอย่างไม่ลังเล
พอเปิดประตู ข้างนอกก็ได้มีผู้ชายร่างสูงยืนอยู่ บนตัวนั้นก็ได้สวมเสื้อที่มีโลโก้ร้านพิซซ่า บนหัวก็ได้สวมหมวกแก๊ป ปลายหมวกนั้นก็ได้กดจนต่ำ มองไม่เห็นหน้าเขาเลยแม้แต่นิด
ต่อให้เป็นแบบนั้น ฝู้จิงเหวินก็สัมผัสถึงความคุ้นเคยที่ได้ถาโถมเข้ามา
“คุณครับ นี่เป็นพิซซ่าที่คุณสั่ง”
ชายหนุ่มก็ได้เป็นปากพูดภาษาอิตาลีที่ชัดเจนออกมา
เสียงนี้ ต่อให้ฝู้จิงเหวินตายไปก็ไม่มีทางลืม
เขาได้ยิ้มมุมปาก “ขอบคุณมากครับ”
ได้ยินแบบนั้น ชายหนุ่มก็ได้เงยหน้าขึ้น
สบตากัน
ฝู้จิงเหวินก็ได้หรี่ตาเล็กน้อย รอยยิ้มที่มุมปากก็ได้ค่อยๆ จางหาย เขาได้มองไปยังชายชุดดำที่อยู่ข้างๆ ทางหางตา จากนั้นก็ได้ส่งสายตาให้ชายที่อยู่ตรงหน้า
ชายหนุ่มก็ได้รับรู้ ร่างกายก็ได้ขยับ
ยังไม่ได้ทันมองให้ชัดเจน ก็เห็นว่าชายชุดดำล้มไปกับพื้น
ฝู้จิงเหวินก็ได้หัวเราะออกมาเบาๆ “คิดไม่ถึงว่าคนที่เป็นถึงประธานบริษัทจิ้นกรุ๊ป ฝีมือนั้นจะร้ายกาจขนาดนี้”
จิ้นเฟิงเฉินก็ได้ถอดหมวก พูดเสียงเข้มว่า “ไม่ได้เจอกันนาน”
ฝู้จิงเหวินมองเขา “ก็ไม่ได้เจอกันนานจริงๆนั่นแหละ เข้ามาเถอะ”
เขาหันหน้าแล้วก็เดินเข้าไปในบ้าน จิ้นเฟิงเฉินก็ได้รีบตามเข้าไป
ปิดประตู ข้างนอกก็ได้กลับไปเงียบดั่งเดิม ชายชุดดำก็ได้นอนบนพื้นไม่ขยับเลยสักนิด
……
“เชิญนั่ง”
ฝู้จิงเหวินก็ได้เชิญจิ้นเฟิงเฉินนั่งลง จากนั้นถาม “ดื่มอะไร?”
“ไม่ต้องแล้ว”
ฝู้จิงเหวินเลิกคิ้วสักพัก ก็ไม่ได้ตื้อต่อ
เขาเดินไปนั่งตรงข้ามจิ้นเฟิงเฉิน ก็ได้พูดออกไปตรงๆ “นายมาเพราะเรื่องของสื้อสื้อ ถูกไหม?”
“อืม”
ก็มีแค่สื้อสื้อ ถึงได้ทำให้ชายสองคนที่มองอีกฝ่ายไม่เข้าตาได้มานั่งพูดคุยกันอย่างใจเย็นได้แบบนี้
“นายอยากจะรู้อะไร?” ฝู้จิงเหวินก็ได้ถามต่อ
“คูรี่อยู่ที่สถาบันวิจัยไหน?”
เดิมที่คิดว่าเขาจะถามเรื่องไวรัสไปตรงๆ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะถามเรื่องแบบนี้
“นายอยากจะทำอะไร?” ฝู้จิงเหวินไม่ตอบแต่ถามกลับ
“นายน่าจะรู้ว่าฉันอยากจะทำอะไร?”
ฝู้จิงเหวินพยักหน้า “ฉันรู้ ศาสตราจารย์คูรี่อยู่ที่สถาบันวิจัยเดียวกับฉัน”
เขาก็ได้บอกที่อยู่ที่จิ้นเฟิงเฉินได้คุ้นเคยออกไป
เป็นที่อยู่สถาบันวิจัยที่เห้อซูหานได้ส่งคนไปเฝ้าตอนนี้พอดี
“นายแน่ใจว่าเขาอยู่ที่นั่น?” จิ้นเฟิงเฉินไม่ได้เชื่อฝู้จิงเหวินขนาดนั้น
ฝู้จิงเหวินก็ได้หัวเราะอย่างอดไม่ได้ “ฉันหลอกนายไปทำไม? ฉันได้อยู่กับเขาทุกวัน ฉันยังไม่รู้เหรอว่าเขาอยู่ที่ไหน?”
จิ้นเฟิงเฉินเงียบ
“แต่ว่าเขานั้นแทบที่จะไม่ออกจากสถาบันวิจัยเลย กินนอนก็อยู่ในสถาบันวิจัย”
นี่ก็เป็นเพราะว่าพวกเห้อซูหานทำไมถึงได้เฝ้ามานานขนาดนั้นก็ไม่เจอกับคูรี่
“พวกนายวิจัยไปถึงขั้นไหนแล้ว?” อยู่ๆ จิ้นเฟิงเฉินก็ได้เปิดปาก
ฝู้จิงเหวินส่ายหน้า “ไม่รู้”
จิ้นเฟิงเฉินขมวดคิ้ว
“ฉันรู้ว่านายไม่เชื่อ แต่ว่าฉันไม่รู้จริงๆ” ฝู้จิงเหวินก็ได้สูดหายใจเข้าไปลึกๆ ก็ได้พูดต่อ “ก่อนหน้านี้ฉันก็ได้เข้าร่วมทีมวิจัยของศาสตราจารย์คูรี่ แต่ว่าที่ข้อมูลหลักที่คูรี่รับผิดชอบ ฉันไม่มีทางที่จะเข้าถึงได้เลย”
พูดถึงตรงนี้ ฝู้จิงเหวินก็อดที่จะหงุดหงิดไม่ได้ เขาก็ได้หัวเราะอย่างสมเพชตัวเอง “เดิมฉันคิดว่าเข้าไปที่ทีมวิจัยของเขา ก็สามารถที่จะช่วยสื้อสื้อได้ ตอนนี้เห็นทีฉันคิดง่ายเกินไป ตั้งแต่ต้นจนจบ เบอร์เกนไม่เชื่อใจฉันเลยแม้แต่นี้”
ถึงแม้ว่าการที่เจียงสื้อสื้อติดเชื้อไวรัสเป็นเพราะว่าเขา แต่เขายอมที่จะทำขนาดนี้เพื่อสื้อสื้อ ในใจของจิ้นเฟิงเฉินไม่มากก็น้อยก็ได้นับถือในตัวของเขา
“ระบบของสถาบันวิจัยเป็นยังไง?” จิ้นเฟิงเฉินถาม
ฝู้จิงเหวินได้ยิน ก็ได้ขมวดคิ้วขึ้น “นายอยากที่จะโจมตีเข้าไปในสถาบันวิจัยเหรอ?”
จิ้นเฟิงเฉินไม่ได้ตอบ ก็ยอมรับเงียบๆ
“นายบ้าไปแล้วเหรอ?” อารมณ์ของฝู้จิงเหวินก็ได้ร้อนขึ้น “นั้นเป็นสถาบันวิจัยที่เบอร์เกนให้ความสำคัญ นายคิดว่าระบบรักษาความปลอดภัยไม่หนาแน่นเหรอ? ขอแค่มีคนเข้าใกล้ ก็ได้โดนยิงจนเป็นรังผึ้งแล้ว ฉันเตือนนายล้มเลิกความคิดนี้เถอะ ยังไงซะนายก็ยังมีสื้อสื้อ”
“ฉันไม่เคยที่จะทำเรื่องที่ตนนั้นไม่มีความมั่นใจ” จิ้นเฟิงเฉินพูด “อีกอย่างเวลาของสื้อสื้อมีไม่มากแล้ว”
พอพูดแบบนี้ออกมา ฝู้จิงเหวินก็ได้รีบลุกขึ้นมา ก็ได้มองเขาด้วยสายตาที่ไม่อยากเชื่อ “นายพูดอะไรนะ สื้อสื้อเป็นอะไร? เชื้อไวรัสได้ออกฤทธิ์แล้วเหรอ ฉันได้ให้แม่ของฉันส่งยาให้พวกนายด้วยตัวเองแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เจอกับการถามของเขา จิ้นเฟิงเฉินก็ได้ตอบอย่างใจเย็น “เชื้อยังไม่ออกฤกธิ์ สื้อสื้อสบายดี”
ฝู้จิงเหวินถึงได้ถอนหายใจ เขาก็ได้มองจิ้นเฟิงเฉินด้วยท่าทางที่ร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้ “งั้นทำไมนายถึงบอกว่าเวลาของสื้อสื้อมีไม่มาก?”
“เพราะว่ายานั้นไม่สามารถที่จะกดเชื้อได้ไปตลอด ถ้าเกิดอาการดื้อยา ยาก็ไม่เกิดผลอะไร เชื้อก็จะออกฤทธิ์ ฉันคิดว่าข้อนี้นายน่าจะเข้าใจดีกว่าฉัน”
ฝู้จิงเหวินก็ได้เข้าใจดี เขาได้กำหมัดแน่น จากนั้นก็ได้คลายออก ถาม “นายเชื่อใจฉันไหม?”
เขาก็ได้จ้องมองจิ้นเฟิงเฉิน
แต่จิ้นเฟิงเฉินก็ได้พยักหน้าเล็กน้อย “ฉันเชื่อใจนาย”
ได้ยินคำตอบของเขา มุมปากของฝู้จิงเหวินได้ชี้ “งั้นดี ทางศาสตราจารย์คูรี่นั้นฉันมาคิดหาวิธี ฉันต้องทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะเอาข้อมูลการวิจัยของพวกเขาตอนนี้มาให้ได้”