ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 1059 สะบัดพวกมันให้หลุด
ไม่รอให้งานวันเกิดจบลง จิ้นเฟิงเฉินกับชีซาก็ได้กลับไปก่อน
“มีคนตามครับ”
เห้อซูหานได้มองกระจกหลัง สีหน้าหวาดหวั่น
“สะบัดพวกมันได้หลุด” ชีซาหันหลังไปมองหลังรถ มีรถตามหลังอยู่จริงด้วย
เธอก็บ่นอย่างทนไม่ได้ “เบอร์เกนคนนี้ขี้สงสัยไปแล้วหรือเปล่า ถึงขั้นส่งคนมาตามพวกเรา”
เธอนั้นดูถูกพวกผู้ชายที่ขี้สงสัยแบบนี้มาตลอด
เพราะว่าก่อนหน้าเคยเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อน จิ้นเฟิงเฉินก็ได้หลับตาพักผ่อนไปอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา
เห็นแบบนั้น ชีซาก็ได้ทนไม่ได้จนเอาศอกไปกระทุ้งเขาเบาๆ “นี่ จิ้นเฟิงเฉิน นายไม่กลัวว่าจะถูกเบอร์เกนรู้ว่านายเป็นจิ้นเฟิงเฉินเหรอ?”
“ถ้าฉันกลัว ก็ไม่ไปเจอเขาแล้ว”
จิ้นเฟิงเฉินลืมตา สายตาได้เต็มไปด้วยความเย็นชา มุมปากก็ได้มีความเยาะเย้ยเล็กน้อย
สำหรับเขาแล้ว เบอร์เกนก็เป็นแค่คู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อคนหนึ่ง ไม่มีความหวาดกลัว
“ก็จริง” ชีซาเบะปาก “งั้นครั้งนี้นายได้อะไรมาไหม?”
“อืม”
“อะไรเหรอ?” ชีซาสงสัยเอามากๆ
“ไม่กี่วันนี้จับตามองสถาบันวิจัยพวกนั้นดีๆ”
เขาไม่ตอบคำตอบของตนก็ช่างแล้ว ยังมาสั่งงานเธออีก
ชีซาก็ได้ไม่พอใจเลยทันที “จิ้นเฟิงเฉิน ฉันไม่ใช่ลูกน้องนายนะ อย่ามาสั่งงานฉัน”
“ยาที่รักษาไวรัสนั้นเป็นไปได้ว่าได้วิจัยออกมาได้แล้ว” จิ้นเฟิงเฉินพูด
ชีซาได้ยิน สายตาก็เป็นประกาย “ที่นายพูดจริงเหรอ งั้นก็หมายความว่าเมียของนายมีทางช่วยแล้ว?”
“แค่ความเป็นไปได้ แต่ยังไม่แน่ใจ”
นี่ก็แค่การคาดเดาของเขา
ยาใหม่ที่เบอร์เกนพูดออกมาในคืนนี้อาจจะไม่ใช่ยาที่รักษาไวรัส
แต่ขอแค่มีความเป็นไปได้แม้เพียงเล็กน้อย เขาไม่มีทางที่จะปล่อยมันไป
รู้ว่าตอนนี้เขาอยากจะช่วยเจียงสื้อสื้อให้เร็วที่สุด ชีซาก็ไม่ได้ถือสาอะไรเขา ก็ได้ตอบตกลงไปอย่างเร็ว “ได้ ฉันจะให้คนไปจับตามองดู เกิดอะไรขึ้นก็จะรีบบอกนาย”
“ขอบใจ”
ได้ยินเขาพูดขอบคุณ ชีซาก็ได้เลิกคิ้ว “คำพูดขอบคุณนั้นไม่จำเป็น ฉันก็แค่หวังว่าต่อไปนายจะหาเรื่องให้ฉันน้อยลงหน่อยก็พอ”
เห้อซูหานที่ขับรถได้ยินแบบนี้เข้า ก็อดขำออกมาไม่ได้
“นายขำอะไร?” ชีซาถามอย่างไม่เข้าใจ
“เปล่า……ไม่ได้ขำอะไรครับ”
“ฉันบอกนายเลยนะ คุณชายของนายเป็นนักหาเรื่อง ทุกครั้งที่เขามาที่อิตาลีไม่มีเรื่องดีแน่ ฉันนี่กลายเป็นพนักงานทำงานฟรีให้เขาเรียบร้อย”
ต่อให้จิ้นเฟิงเฉินอยู่ข้างๆ ชีซาก็ยังบ่นได้อย่างเมามัน
เห้อซูหานอยากจะหัวเราะแต่ก็ไม่กล้าหัวเราะ ทำได้แค่กลั้นขำ
“อย่ารบกวนซูหาน ข้างหลังยังมีรถตามอยู่” จิ้นเฟิงเฉินก็ได้พูดออกมาเรียบๆ
“คุณชาย คุณวางใจเถอะครับ ไม่นานผมต้องสะบัดพวกมันหลุดแน่”
เห้อซูหานสีหน้าจริงจัง สายตาก็ได้มองกระจกหลัง รถคันนั้นก็ได้ตามพวกเขาติดๆ อยากจะสะบัดให้หลุด ยังต้องใช้เวลาสักหน่อย
“คุณชาย คุณชีซา นั่งดีๆ นะครับ”
พอพูดจบ เห้อซูหานก็ได้เหยียบคันเร่ง เบนท์ลีย์สีดำก็ได้วิ่งบนทางหลวงอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง เบนท์ลีย์สีดำก็ได้จอดที่โรงแรมอย่างนิ่ม
พอจอดลง ชีซาก็ได้รีบเปิดประตูลงจากรถ เดินไปข้างทางแล้วก็อ้วกออกมา
เห้อซูหานก็ได้รีบลงจากรถเดินเข้าไป “คุณชีซา คุณไม่เป็นอะไรนะครับ?”
“ฉันไม่เป็นไร ก็แค่เวียนหัวนิดหน่อย” ชีซาก็ได้ลุกขึ้น ยกมือขึ้นมานวดที่ขมับที่เจ็บของตน ก็ได้ยิ้มให้เขา “นาย……ขับรถได้ดีมาก”
“ขอโทษครับ ทำให้คุณไม่สบายตัวแล้ว” เห้อซูหานมองเธออย่างรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไร ขอแค่สะบัดรถคันนั้นออก ฉันไม่สบายตัวนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร”
ชีซามองไปยังจิ้นเฟิงเฉินที่ยืนอยู่ข้างรถ เดินเข้าไป “ฉันขอตัวกลับก่อน มีเรื่องอะไรอีกค่อยติดต่อกัน”
“ให้ซูหานไปส่งเธอ” จิ้นเฟิงเฉินพูด
เพราะว่าไม่สบายตัวมากๆ ชีซาก็ไม่ได้ปฏิเสธ “ได้”
มองรถที่ได้ขับห่างออกไป จิ้นเฟิงเฉินถึงได้หันตัวเดินเข้าโรงแรม
กลับไปถึงห้อง ก็เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว
เวลานี้ ในประเทศฟ้าก็ได้สว่างแล้ว
เอาได้เอาโทรศัพท์ออกมาวิดีโอคอลหาสื้อสื้อ เอาโทรศัพท์วางไว้ที่โต๊ะกาแฟรออีกฝ่ายรับ
ถอดเสื้อสูทออกมา เขาเดินไปที่ห้องครัวแล้วก็ชงกาแฟ กลับไปที่โซฟาห้องนั่งเล่น
วิดีโอคอลไม่ติด มันวางไปเอง
สองคิ้วก็ได้ขมวด ยังไม่ตื่นเหรอ?
เพราะว่าเมื่อคืนเจียงสื้อสื้อได้วิดีโอคอลคุยกับจิ้นเฟิงเฉินจนดึกไปหน่อย เพราะงั้นก็ได้หลับลึก โทรศัพท์ดังก็ไม่ได้ยิน
เธอก็ได้หลับไปถึงเที่ยงวัน ตื่นมาถึงได้พบว่ามีวิดีโอคอลมาหลายสายที่ไม่ได้รับ
คิดที่จะโทรกลับ แต่คิดได้ว่าตอนนี้จิ้นเฟิงเฉินอาจจะติดธุระ เพราะงั้นเธอก็ได้ล้มเลิก
ล้างหน้าล้างตาเสร็จก็ได้ลงไป พบว่าฟางยู่เชินอยู่บ้าน
“พี่ วันนี้พี่พักผ่อนเหรอ?” เจียงสื้อสื้อก็ได้เดินไป ถามอย่างสงสัย
“ไม่สบายนิดหน่อยน่ะ”
เห็นว่าเขาสีหน้าไม่ดี เจียงสื้อสื้อก็อดเป็นห่วงไม่ได้ขึ้นมา “ไม่สบายตรงไหน?”
“เป็นไข้นิดหน่อย” ฟางยู่เชินก็ได้ยิ้มปลอบตอบเธอ “ฉันไม่เป็นไร พักผ่อนแป๊บเดียวก็หาย เธอไม่ต้องเป็นห่วง”
เจียงสื้อสื้อก็ได้เข้าไปแตะที่หน้าผากเขา คิ้วก็ได้ขมวดเล็กน้อย “ร้อนมาก นี่มันไม่ได้เป็นไข้นิดหน่อยแล้ว จะให้หมอมาดูให้หน่อยไหม?”
“ตู้ทางนั้นมีกล่องยาอยู่ เธอช่วยฉันไปเอามันมาให้หน่อย” ฟางยู่เชินก็ได้ชี้ไปยังตู้ที่อยู่ในที่ไม่ใกล้แล้วพูด
“ได้ค่ะ”
เจียงสื้อสื้อหันไปจะไปเอา เวลานี้ ฟางยู่เชินก็ได้พูดอีกว่า “ช่วยฉันรินน้ำให้แก้วหนึ่ง”
“อ่อ ได้”
เจียงสื้อสื้อก็ได้รีบเอากล่องยามาให้เขา แล้วก็ได้ไปที่ห้องครัวเทน้ำอุ่นมา
ฟางยู่เชินก็ได้หายาลดไข้ในกล่องยาเจอ แล้วก็เอาเข้าปากแล้วดื่มน้ำอุ่น
“ไม่นานไข้ก็ลดแล้ว” ฟางยู่เชินยิ้มแล้วพูด
แต่เจียงสื้อสื้อก็ยังไม่วางใจ “พี่ค่ะ ถ้าไข้ไม่ลดสักทีก็ให้คุณหมอมาดูอาการนะคะ อย่าดูถูกการเป็นไข้นะ ถ้าเกิดเป็นไข้จนปอดอักเสบขึ้นมายุ่งแน่”
“ฉันรู้แล้ว” ฟางยู่เชินยิ้ม “เธอไปทานข้าวเถอะ ฉันขอนอนสักพัก”
พูดจบ เขาก็ได้นอนบนโซฟา
เจียงสื้อสื้อก็ได้รีบเอาผ้าห่มที่อยู่ข้างๆ มาห่มให้เขา ถึงได้วางใจเล็กน้อยแล้วก็ไปทานข้าวเที่ยงที่ห้องครัว
ช่วงบ่ายนั้น อาการไข้ของฟางยู่เชินไม่เพียงไม่ลดลง กลับกันก็ได้หนักกว่าเดิม เป็นไข้จนสติเลื่อนราง
“พี่ค่ะ พี่คะ” เจียงสื้อสื้อนั่งย่องๆ ข้างๆ โซฟา ก็ได้เขย่าตัวฟางยู่เชินเบาๆ
“หื้อ……” ฟางยู่เชินก็ตอบไปอย่างอ่ำๆ อึงๆ ไม่ได้ลืมตา
เจียงสื้อสื้อก็ได้ยื่นมือไปแตะ สีหน้าก็ได้เปลี่ยนไปเลยทันที ทำไมได้ร้อนกว่าเดิม?
“พ่อบ้าน” เธอก็ได้ตะโกนขึ้น
“มีอะไรครับ? คุณสื้อสื้อ” พ่อบ้านได้ยินก็ได้รีบมา
“รีบเรียกคุณหมอมา พี่ชายเป็นไข้สูงแล้ว”
พ่อบ้านเห็นว่าอาการของฟางยู่เชินไม่ปกติ ก็ไม่พูดอะไรมาก รีบหันไปโทรศัพท์
และทางสื้อสื้อได้วิ่งไปที่ห้องครัว เอาเจลเย็นในตู้เย็นออกมา ใช้ผ้าห่อไว้แล้วก็วางไปที่หน้าผากของฟางยู่เชิน หวังว่าวิธีแบบนี้จะทำให้ไข้ลดลงได้
ไม่นานคุณหมอก็มาถึง พอได้ตรวจเสร็จ ก็แค่อยู่ๆ ไข้ขึ้นสูง ไม่เป็นอะไรมาก
ฉีดยาลดไข้เสร็จ ไข้ก็ค่อยๆ ลดลงไป
แตะไปที่หน้าผากที่ไม่ร้อนของฟางยู่เชิน เจียงสื้อสื้อถึงได้วางใจ
“สักพักเดี๋ยวนายให้ห้องครัวไปต้มโจ๊ก รอให้พี่ชายฉันตื่นขึ้นมา ก็ได้เขากิน” เจียงสื้อสื้อก็ได้หันไปพูดกับพ่อบ้าน
พ่อบ้านพยักหน้า “ครับ ผมไปเดี๋ยวนี้”
เขาหันไปเดินไปที่ประตู อยู่ๆ ก็มีเสียง “ตุ้ม” ดังมา
หันไปมอง สีหน้าของเขาก็ได้ซีดเลยทันที ก็ได้ร้องอย่างตกใจว่า “คุณสื้อสื้อ!”
เห็นว่าเจียงสื้อสื้อล้มไปกับพื้น ไม่ขยับ