ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 106 ไม่ใช่แฟน
บทที่ 106 ไม่ใช่แฟน
เจียงสื้อสื้อหันหลังไป เป็นอย่างที่คิด จิ้นเฟิงเฉินยืนอยู่ด้านหลัง
เธอพูดอย่างอึดอัดใจว่า “บังเอิญจังเลยนะคะ”
ใครจะเข้าใจความรู้สึกตอนนี้ของเจียงสื้อสื้อ เธอแทบอยากจะตายอยู่ตรงนั้น เธอตื่นเช้าขนาดนั้น ยังให้บริษัทLGเลือกร่วมงานกับบริษัทอื่น ก็เพื่อที่จะหลบหน้าจิ้นเฟิงเฉิน
ใครจะคาดคิด ว่ายังจะมาเจอกันที่ร้านนี้เอง เขายังได้ยินที่เธอคุยกันอีก
จิ้นเฟิงเฉินใส่ชุดสูทสีดำ ใบหน้าหล่อเหลาสีหน้าเรียบเฉยมองมาที่เธอ เม้มปากแล้วพูดว่า “ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ได้?”
เจียงสื้อสื้อยิ้มแห้ง ๆ ตั้งสติได้แล้วก็ตอบว่า “มาคุยโปรเจคค่ะ” หยุดไปสักพัก เธอจึงแนะนำว่า “นี่คือ บริษัทLG ประธาน ประธานลู่ คุณ ลู่เจิง ลูกค้าใหม่ของบริษัทเราค่ะ”
ลู่เจิงในตอนนี้ยังอยู่ช็อกอยู่ เขารู้ว่าชายตรงหน้าคือประธานของจิ้นกรุ๊ป จิ้นเฟิงเฉิน แม้ว่าบริษัทLGจะอยู่ในระดับแถวหน้าของตลาด เมืองA โดยเฉพาะ ลู่เจิง ในช่วงหลายปีมานี้ที่รับช่วงกิจการต่อก็ได้ทำให้ผลประกอบการนั้นเติบโตขึ้นไม่รู้กี่เท่าตัว แต่ว่าจิ้นเฟิงเฉินนั้น แม้แต่เขาเองก็ยังไม่สามารถที่จะไปเปรียบเทียบได้เลย
จิ้นเฟิงเฉินหรี่ตา ลู่เจิง เขารู้สึกคุ้น ๆ กับชื่อนี้
หยุดไปสักพัก เขานึกขึ้นมาได้ เมื่อวานจิ้นเฟิงเหราพูดว่ามีคนอยากได้เจียงสื้อสื้อ คนนั้นเหมือนจะชื่อลู่เจิง แล้วเขาก็ยังเป็นรุ่นพี่ของเจียงสื้อสื้อตอนมหาลัย ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง หยุดไปพักหนึ่ง จิ้นเฟิงเฉินพูดอย่างใจเย็นว่า “สวัสดีครับ”
ยังไงเสียก็ยังเป็นคนที่รู้จักมารยาทสังคม ลู่เจิงเมื่อได้สติ ก็ยังคงภาพลักษณ์ที่ดี ตอบกลับด้วยท่าทีดูดีว่า “สวัสดีครับประธานจิ้น ได้ยินชื่อเสียงของคุณมานาน วันนี้ได้มีโอกาสเจอแล้ว”
จิ้นเฟิงเฉินพูดเรียบ ๆ ว่า “ประธานลู่เกรงใจไปแล้ว”
ชายสองคน มาในสถานะที่ต่างกัน
ลู่เจิงมองทั้งสองคน จึงถามอย่างสงสัยว่า “ประธานจิ้นรู้จักกันกับสื้อสื้อหรือครับ?”
เจียงสื้อสื้ออึดอัด เธอพยักหน้าเบา ๆ จึงได้ยินจิ้นเฟิงเฉินพูดว่า “ใช่ครับ สนิทกันมาก”
เจียงสื้อสื้อ “???”
พวกเขาสนิทกันมากหรือ?
ลู่เจิงรู้สึกสงสัย มองไปที่เจียงสื้อสื้อถามว่า “ทำไมไม่เคยได้ยินคุณพูดถึงเลย?”
เจียงสื้อสื้อนั้นอยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอด บนโลกนี้ ยังมีเรื่องที่น่าอึดอัดกว่านี้อีกไหม?
ลู่เจิงตอนนี้ถึงค่อย ๆ คิดขึ้นมาได้ว่า บริษัทจิ่นเส้อกับ จิ้นกรุ๊ปมีโปรเจคร่วมกันอันหนึ่ง เดิมเขาคิดว่าเจียงสื้อสื้อกับจิ้นเฟิงเฉินรู้จักกันแค่ในงาน แต่ในตอนนี้ ก็ได้ยินจิ้นเฟิงเฉินหัวเราะและพูดว่า “เธอคงไม่กล้าพูด”
พูดจบ จิ้นเฟิงเฉินก็มองเจียงสื้อสื้อ ด้วยแววตากรุ้มกริ่ม
ลู่เจิงเองก็ไม่ได้โง่ เขาถึงได้รู้ว่าทั้งสองคนคงไม่ได้แค่รู้จักกันธรรมดา หยุดไปสักพัก เขาดูแววตาของเจียงสื้อสื้อนั้นก็มีอะไรแปลก ๆ
เจียงสื้อสื้อนั้นรู้สึกอึดอัดสุดขีด เธอกระแอมออกมา แล้วก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เอ่ยปากถามจิ้นเฟิงเฉินว่า “ประธานจิ้นก็มาคุยธุระกิจหรือคะ?”
ความหมายที่พูดก็คือ ถ้าหากเขามาคุยธุระกิจ ก็น่าจะรีบ ๆ ไปได้แล้ว
จิ้นเฟิงเฉินเม้มปาก พูดอย่างช้า ๆ ว่า “เปล่า ผมแค่มาทานข้าว”
จริง ๆ แล้ว จิ้นเฟิงเฉินนั้นมาเพื่อจะคุยธุระกิจ เขามาพร้อมกับเลขา แต่เมื่อเดินมาถึงด้านหน้าประตูก็เห็นเจียงสื้อสื้อทานข้าวกับผู้ชายคนหนึ่ง
ทั้งสองนั้นคุยไปหัวเราะไป จิ้นเฟิงเฉินไม่รู้ว่า ลู่เจิงเป็นลูกค้าของเจียงสื้อสื้อ ทั้งสองคนมาคุยธุระกิจกันอยู่
ในเวลานั้น เขายังจะมีกะจิตกะใจคุยธุรกิจที่ไหนล่ะ จิ้นเฟิงเฉินให้เลขาเลื่อนนัดลูกค้าออกไป แล้วก็เดินเข้ามาเลย แล้วก็ได้ยินเจียงสื้อสื้อบอกลูกค้าให้เปลี่ยนบริษัท
เธอยังไม่เคยมาหาเขาเลย จะรู้ได้ยังไงว่าเขาจะไม่ให้พื้นที่โฆษณากับเธอ
ลู่เจิงเมื่อได้ยินจิ้นเฟิงเฉินพูดว่าจะมาทานอาหาร ก็เอ่ยปากชวนอย่างมีมารยาทว่า “ประธานจิ้นจะมาทานร่วมกันไหมครับ?”
เขาแค่ถามเป็นมารยาท ลู่เจิงคิดว่า คนอย่างจิ้นเฟิงเฉิน คงไม่รวมทานอาหารกับพวกเขาหรอก แต่ว่าเขากลับตอบตกลงทันที และยังนั่งลงข้าง ๆ เจียงสื้อสื้อ ใบหน้าลู่เจิงนั้นมีแวบหนึ่งที่ทำหน้าสงสัย มองสายตาทั้งคู่แล้วก็ยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่
เจียงสื้อสื้อนั้นแทบไม่เป็นตัวเอง บรรยากาศรอบตัวดูแปลก ๆ จนเธอไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว
หยุดไปสักพัก ลู่เจิงยื่นเมนูอาหารให้และพูดว่า “ประธานจิ้น วันนี้มีโอกาสได้พบกัน ผมขอเป็นเจ้ามือนะครับ คุณอยากจะทานอะไร?”
จิ้นเฟิงเฉินไม่ได้ปฏิเสธ บริกรเดินมา เขาสั่งเมนูที่เจียงสื้อสื้อชอบทานไปสองสามอย่าง ไม่นาน อาหารก็มาเสริฟ ทั้งสามคนก็ทานอาหารร่วมกัน ด้วยบรรยากาศแปลก ๆ ตอนนี้เอง จึงได้ยินเสียงของจิ้นเฟิงเฉินพูดขึ้นว่า “พวกคุณกำลังคุยเรื่องงานกันไม่ใช่หรือ คุยต่อได้เลยนะ”
ลู่เจิงได้ยินจึงพูดว่า “จริง ๆ ก็คุยกันได้พอสมควรแล้วครับ ก่อนหน้ายังมีพูดถึงจิ้นกรุ๊ป แต่สื้อสื้อปฏิเสธแพลตฟอร์มของจิ้นกรุ๊ป”
“หรือครับ?” จิ้นเฟิงเฉินมองหญิงสาวที่นั่งข้าง ๆ ในใจของเจียงสื้อสื้อรู้สึกถึงลางไม่ค่อยดี เป็นแบบนั้นจริง ๆ ด้วย เพียงแค่ได้ยินดังนั้น เขาก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีสงบนิ่งว่า “ช่วงนี้โฆษณาของบริษัทนั้นคิวแน่นจริง ๆ แต่ถ้าหากว่าเธอมา แน่นอนว่าจะต้องจัดตารางให้ได้”
เจียงสื้อสื้อดื่มน้ำไปคำหนึ่งแทบจะสำลัก เพราะเห็นสายตาที่ลู่เจิงมองอย่างประหลาด เธอแทบอยากจะมุดดินหนีไปเลย เธอรีบลุกขึ้นและบอกว่า “ขอตัวไปห้องน้ำสักครู่นะคะ”
พูดจบ เจียงสื้อสื้อก็รีบเดินออกไป
หลังเธอเพิ่งจะเดินพ้นบันได จิ้นเฟิงเฉินก็วางช้อนส้อมลง ก็ลุกขึ้นพูดว่า “ขอโทษนะครับ ขอตัวสักครู่”
ลู่เจิงมองทั้งสองคนเดินไปอย่างตะลึง สายตาเต็มไปด้วยความสับสน
……
หลังเจียงสื้อสื้อไปถึงห้องน้ำ ล้างหน้าแล้วจึงสงบสติอารมณ์์ให้เย็นลงบ้าง
เธอคิดไม่ถึงว่าจะมาเจอจิ้นเฟิงเฉินที่นี่ เขายังนั่งลงทานอาหารร่วมกันกับพวกเขาอีกที่สำคัญคือ ทานข้าวก็ส่วนทานข้าว ตานี่ยังพูดอะไรที่ยังทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้ง่าย ๆ อีก
อยากจะบอกว่า การทานอาหารมื้อนี้ช่างเป็นอะไรที่ลำบากจริง ๆ รอจบแล้วต้องรีบแยกย้ายให้เร็ว
เจียงสื้อสื้อคิดอยู่สักพัก ก็เดินออกมาเห็นจิ้นเฟิงเฉินกอดอกยืนพิงอยู่ที่กำแพง ใบหน้าหล่อดุจปีศาจนั่นช่างยากที่จะหาใครเปรียบได้ ทั้งเนื้อทั้งตัวนั้นดูดีสมาร์ทมาก ๆ ดวงตาคมเข้มคู่นั้น เหมือนใครที่ได้มองแล้วก็ต้องให้ถลำลึกลงไป
ทำไมเขามาอยู่ที่นี่ ใจของเจียงสื้อสื้อเต้นตึกตัก บอกกับตัวเองว่า จิ้นเฟิงเฉินต้องมารอเธอแน่ ๆ
นาทีนั้นเจียงสื้อสื้ออยากจะเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำ แต่ว่าจิ้นเฟิงเฉินมองเห็นเธอแล้ว
ผู้หญิงหลายคนที่เดินอยู่หน้าเธอต่างก็แอบมองจิ้นเฟิงเฉิน สายตาเหล่านั้นล้วนแฝงไปด้วยความชื่นชอบ เจียงสื้อสื้อก็ได้ยินที่พวกเธอแอบคุยกัน
“ผู้ชายคนนั้นหล่อจังเลย! อยากจะไปขอวีแชตเขาจังเลย!”
“ไปสิ ไปสิ สู้ ๆ นะ!”
หญิงสาวในชุดเดรสสีขาวที่กำลังคิดจะเดินเข้าไป ก็เห็นจิ้นเฟิงเฉินเดินมา แล้วก็พูดกับเจียงสื้อสื้อที่เดินตามพวกเธอมาว่า “ผมรอคุณอยู่นานแล้ว”
ผู้หญิงพวกนั้นมองมาที่เจียงสื้อสื้อ ทั้งอิจฉาทั้งเกลียดทั้งชัง ยังมีคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “ที่แท้ก็มารอแฟนหรอกหรือ”
เอ๊ะ ไม่ใช่ แฟนอะไรกัน!
เจียงสื้อสื้ออยากจะอธิบาย แต่ว่าพวกเธอก็เดินจากไปแล้ว