ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 1209 ยากมากที่จะได้เป็นครอบครัวเดียวกัน
- Home
- ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?!
- บทที่ 1209 ยากมากที่จะได้เป็นครอบครัวเดียวกัน
เย่เสี่ยวอี้นึกไม่ถึงว่าเธอจะพูดตรงขนาดนี้ จากความอายก็เปลี่ยนเป็นความโกรธทันที เธอพูดออกมาเสียงดังว่า “เจียงสื้อสื้ออย่าคิดว่าเธอเป็นน้องสาวของยู่เชินแล้วฉันจะไม่กล้าทำอะไรกับเธอนะ”
เจียงสื้อสื้อยิ้มออกมา “นี่มันเป็นธาตุของคุณจริงๆ ไม่ใช่เหรอคะ?”
“นี่เธอ!”
เย่เสี่ยวอี้เพิ่งจะรู้ตัว ว่าเธอนั้นตั้งใจยุให้ตัวเองโกรธ
“นี่คุณเย่ อย่าคิดว่ามาแกล้งทำตัวดีต่อหน้าฉัน แล้วฉันจะรู้สึกดีกับคุณนะคะ ครั้งแรกที่เราพบกัน ฉันก็ได้เห็นธาตุแท้จริงๆ ของคุณแล้วล่ะค่ะ”
เจียงสื้อสื้อเหลือบมองเธอย่างไม่ชอบใจไปแวบหนึ่ง แล้วหันไปพูดกับเหลียงซินเวยว่า “ในเมื่อเธอชอบชุดนี้ งั้นฉันซื้อให้เธอแล้วกัน”
พอเหลียงซินเวยได้ยิน ก็รีบส่ายหน้าทันที “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่ซื้อตัวนี้แล้วค่ะ”
ของขวัญที่ราคาสูงขนาดนี้ เธอจะไปกล้ารับได้ยังไง
“ทำไมล่ะ?” เจียงสื้อสื้อขมวดคิ้ว
“พี่สื้อสื้อคะ น้ำใจของพี่ฉันรับรู้ได้แล้ว แต่อันนี้มันแพงเกินไป ฉันรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”
พอได้ยินคำพูดของเหลียงซินเวย เย่เสี่ยวอี้ก็ส่งเสียง “ชิ” ออกมาทีหนึ่ง แล้วพูดเยาะเย้ยไปว่า “มีคนให้ก็รีบรับๆไว้ซะเพราะถ้าพลาดโอกาสครั้งนี้ไปก็คงไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว”
เจียงสื้อสื้อขมวดคิ้วหนักยิ่งกว่าเดิม “อย่าไปฟังที่คุณเย่พูดเลย นี่เป็นของขวัญที่ให้มอบให้เธอ จะถูกหรือแพงมันไม่สำคัญ”
เหลียงซินเวยหายใจเข้าลึกๆ แล้วยิ้มออกมา “ขอบคุณค่ะ พี่สื้อสื้อ แต่ฉันรับไว้ไม่ได้จริงๆ ค่ะ”
“แต่เธอชอบมันมากเลยไม่ใช่เหรอ?” เจียงสื้อสื้อแค่ไม่อยากให้เธอผิดหวัง เห็นได้ชัดว่าเธอชอบชุดราตรีชุดนี้มาก
“ฉันชอบมันก็จริง” เหลียงซินเวยตอบไปอย่างใจเย็น “แต่ว่า มันเป็นเหมือนที่คุณเย่พูดนั่นแหละ ฉันรู้ตัวเองดี ว่าชุดราตรีตัวนี้ฉันใส่มันไม่ไหวหรอกค่ะ”
พูดจบ ไม่รอให้เจียงสื้อสื้อได้ทันตั้งตัว เธอก็เดินกลับเข้าไปในห้องลองชุดแล้ว
พรึบ!
ผ้าม่านปิดลง ปิดกั้นจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์
เหลียงซินเวยสัมผัสเสื้อผ้าบนร่างกายเบาๆ ใบหน้าที่งดงามแสดงความรู้สึกที่ผิดหวังออกมา
เธอชอบชุดนี้มากจริงๆ
แต่ว่า___
หายใจเข้าลึกๆ เธอเงยหน้าขึ้น มุมปากก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
ชุดราตรีชุดนี้ก็เหมือนกับฟางยู่เชินเลย ไม่ใช่สิ่งที่เธอจะสามารถไขว่คว้าถึงได้
……
เย่เสี่ยวอี้มองไปที่เจียงสื้อสื้อ แววตาเลิกลักไปมา แล้วพูดออกไปอย่างระมัดระวังว่า “สื้อสื้อ เมื่อกี้ฉันพูดออกไปเพราะความใจร้อน เธออย่าใส่ใจเลยนะ”
พอได้ยินแบบนั้น เจียงสื้อสื้อก็หันหน้ามาเหลือบมองเธอไปทีหนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า “เธอไม่มีค่าพอให้ฉันใส่ใจหรอก”
ความหมายของคำพูดนั่นก็คือ เธออย่าได้รู้สึกสำคัญตัวมากจนเกินไป
ในสายตาของเจียงสื้อสื้อนั้น เทียบกับคนแปลกหน้าที่เดินสวนกันยังไม่ได้เลย
อย่างน้อย คนแปลกหน้าที่เดินผ่านมาเธอยังจะหันไปมอง
แต่สำหรับเย่เสี่ยวอี้นั้น เธอไม่อยากแม้แต่จะเห็นหน้าด้วยซ้ำ
เย่เสี่ยวอี้ยิ้มออกมาอย่างเขินๆ “จริงเหรอ? งั้นก็ดี”
บรรยากาศเงียบลงไปทันที
เย่เสี่ยวอี้ขมวดคิ้ว สีหน้าค่อนข้างสับสน
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ชอบเจียงสื้อสื้อแต่ยังไงก็เป็นน้องสาวของยู่เชิน แถมยังเป็นภรรยาของประธานแห่งจิ้นซื่อกรุ๊ปอีก ถ้าไปทำให้ไม่พอใจเข้า มันก็ไม่เป็นผลดีกับเธอเหมือนกัน
การที่จะมีศัตรูน้อยลงสักคน มันก็เป็นผลดีกับเธอเหมือนกัน
ว่าแล้ว เธอก็เดินมาข้างๆ เจียงสื้อสื้อ ใบหน้าที่แต่งมาอย่างสะสวยก็ได้ยิ้มออกมาอย่างประจบประแจง “สื้อสื้อ เดี๋ยวเธอพอมีเวลารึเปล่า? เราไปก้นข้าวเที่ยงด้วยกันมั้ย?”
“ไม่ว่าง”
ง่ายๆ สองพยางค์ สามารถแสดงออกถึงความรู้สึกของเจียงสื้อสื้อในตอนนี้ได้อย่างชัดเจน
เย่เสี่ยวอี้รู้สึกโมโหอยู่ในใจ แต่ก็ไม่กล้าแสดงมันออกมาทางสีหน้า ยังคงยิ้มอยู่เหมือนเดิม “สื้อสื้อ ต่อไปเราก็จะได้เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เราก็ควรทำดีต่อกันเข้าไว้นะ”
“ครอบครัวเดียวกันอย่างนั้นเหรอ?” เจียงสื้อสื้อหันหน้ามา แล้วยิ้มเยาะเย้ยออกมา “ใครเป็นคนบอกเธอ ว่าต่อไปเราจะได้เป็นครอบครัวเดียวกัน?”
“ก็……ก็ฉันจะได้หมั้นหมายกับยู่เชินแล้วไม่ใช่รึไง?”
“แล้วใครเป็นคนบอกเธออีกล่ะ ว่าพี่ชายจะหมั้นกับเธอ?”
“พ่อแม่ของฉัน และก็พ่อแม่ของยู่เชินด้วย”
เจียงสื้อสื้อขมวดคิ้ว “ตกลงกันได้แล้วเหรอ?”
ไม่ใช่สิ ถ้าตกลงกันแล้ว ทำไมเธอถึงไม่รู้ล่ะ?
เย่เสี่ยวอี้สายตาเลิกลัก “ก็ ก็ต้องตกลงกันแล้วสิ”
ความจริงคือ เรื่องที่ว่าจะหมั่นกันนั้น เป็นแค่เรื่องที่พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายเสนอออกมาเท่านั้น แต่ก็ยังไม่ได้ตกลงกันอย่างเป็นทางการจริงๆนั่นแหละ
แต่เธอรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอนอยู่แล้ว
ดูออกว่าเธอกำลังรู้สึกละอายใจ เจียงสื้อสื้อจึงได้ขำออกมาเบาๆ “คุณเย่คะ ฉันคิดว่าเป็นเรื่องยากมากที่เราจะได้เป็นครอบครัวเดียวกัน”
“หมายความว่ายังไง?” เย่เสี่ยวอี้ขมวดคิ้ว
“หมายความตามที่พูดแหละค่ะ” เจียงสื้อสื้อไม่อยากเสวนากับเธอแล้ว “คุณเย่คะ คุณมาเลือกชุดไม่ใช่เหรอคะ รีบไปดูสิ”
“ไม่ใช่ สื้อสื้อ ที่เธอพูดเมื่อกี้มันหมายความว่ายังไง?” เย่เสี่ยวอี้คว้าแขนของเธอไว้ ด้วยสีหน้าที่ไม่เข้าใจและไม่ยอมลดละ
เจียงสื้อสื้อเริ่มรู้สึกรำคาญขึ้นมาแล้ว แต่ด้วยความที่ได้รับการสั่งสอนมาดี จึงยังพูดไปด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า “ความหมายก็คือ ตอนนี้ไม่ใช่ยุคศักดินาแล้ว การที่พ่อแม่จะมากำหนดเรื่องการแต่งงานนั้นมันไม่มีประโยชน์อีก การแต่งงานในครั้งนี้ จำเป็นต้องให้พี่ชายพยักหน้าเห็นด้วยถึงจะได้ และความรู้สึกที่พี่ชายมีกับคุณ คุณเองก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว”
เหลียงซินเวยเปิดผ้าม่านออก มองไปก็เห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีของเย่เสี่ยวอี้พอดี ขมวดคิ้วอย่างแรง แล้วหันมองเจียงสื้อสื้อด้วยความสงสัย
เจียงสื้อสื้อพูดด้วยสีหน้าที่เรียบร้อย “เราไปดูที่ร้านอื่นกันเถอะ”
จนพวกเจียงสื้อสื้อเดินออกไปแล้ว เย่เสี่ยวอี้ก็ยังดึงสติกลับมาไม่ได้เลย
ความฝันสูงสุดในชีวิตของเธอก็คือ การได้แต่งงานกับยู่เชินนั่นเอง
แล้วมันจะไปยากมากได้ยังไงล่ะ?
ไม่ว่าจะเป็นฐานะหรือหน้าตา พวกเธอต่างก็เป็นอีกครึ่งที่เหมาะสมกันที่สุด
……
“พี่สื้อสื้อคะ คุณเย่เธอเป็นอะไรเหรอคะ?”
หลังออกจากร้าน เหลียงซินเวยถึงได้ถามไป
“ไม่มีอะไร แค่ถูกความจริงตบหน้าเท่านั้นแหละ” เจียงสื้อสื้ออธิบายไปง่ายๆ
“เธอถูกความจริงตบหน้าได้ด้วย เป็นไปได้ยังไง?”
เย่เสี่ยวอี้เป็นถึงลูกคุณหนูผู้ร่ำรวย มันไม่มีความจริงสำหรับเธอหรอก
เจียงสื้อสื้อมองออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นความจริงเรื่องความรักน่ะ”
พอได้ยินแบบนั้น เหลียงซินเวยก็ตกใจทันที “นี่พี่ไปพูดอะไรกับเธออย่างนั้นเหรอคะ?”
“ฉันแค่บอกเธอไปว่า เป็นเรื่องยากมากที่เธอกับพี่ชายจะได้ลงเอยกัน”
“ฉันแค่สอนให้เธอรู้จักยอมรับความจริงเท่านั้น” เจียงสื้อสื้อแย้มปากแล้วยิ้ม “ดูแล้วตอนนี้มันจะได้ผลมากซะด้วย”
ความจริงเธอไม่ได้อยากเข้าไปยุ่งกับความรักของใครเลย แต่พฤติกรรมที่เย่เสี่ยวอี้มีต่อเหลียงซินเวยนั้น มันเป็นการรังแกที่หนักจนเกินไป
เหลียงซินเวยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แล้วแสร้งพูดไปอย่างไม่ใส่ใจว่า “จริงด้วย แล้วพี่รู้ได้ยังไงล่ะคะว่าเธอกับพี่ฟางจะลงเอยด้วยกันยาก?”
“เพราะว่าพี่ชายของฉันมีคนที่เขาชอบอยู่แล้วนะสิ”
พอคำพูดนี้พูดออกมา เหลียงซินเวยก็หยุดเดิน สีหน้าดูแย่ขึ้นมาทันที
“พะ……พี่บอกว่าพี่ฟางมีคนที่ชอบอยู่แล้วอย่างนั้นเหรอคะ?”
เจียงสื้อสื้อพยักหน้า “ถูกต้อง”
“เหรอคะ?” เหลียงซินเวยอยากยิ้มแต่ก็ยิ้มไม่ออก “แล้วทำไมพี่ไม่บอกฉันให้เร็วกว่านี้ล่ะคะ?”
“ฉันพูดตอนนี้มันช้ามากเลยเหรอ?” เจียงสื้อสื้อไม่ตอบแต่ถามกลับ
ความจริงหลังจากที่เธอได้รับสายของพี่ชายแล้ว ถึงได้มั่นใจว่าคนที่พี่ชายชอบนั้นเป็นใคร
“ไม่ค่ะ ไม่ช้าเลยสักนิด”
จู่ๆ เหลียงซินเวยรู้สึกว่าเหนื่อยขึ้นมา และไม่มีอารมณ์จะไปซื้อเสื้อผ้าอีก
“พี่สื้อสื้อคะ เรากลับบ้านกันเลยดีมั้ยคะ?”
“หา?” เจียงสื้อสื้อรู้สึกตกใจมาก “ไม่ไปดูเสื้อผ้าต่อแล้วเหรอ?”
“ยังไงก็ยังมีเวลาอีกตั้งหลายวัน ไม่ต้องรีบก็ได้ค่ะ”
พอเห็นว่าสีหน้าของเธอไม่ดี ดูเหมือนจะติดใจเรื่องที่พี่ชายมีคนที่ชอบมากแน่ๆ
เจียงสื้อสื้ออยากหัวเราะ แต่ก็ไม่กล้าหัวเราะออกมา ได้แต่ไอเบาๆ เพื่อปกปิดอารมณ์ขบขันของตัวเอง แล้วลองถามไปว่า “มันสำคัญกับเธอมากเลยเหรอ?”