ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 1210 เป็นความเต็มใจของฉันเอง
เหลียงซินเวยอึ้งไป “ฉัน……”
ด้วยความที่กลัวว่าเธอจะจริงจัง เจียงสื้อสื้อจึงรีบพูดไปว่า “ความจริงฉันแค่โกหกเย่เสี่ยวอี้เท่านั้น ฉันไม่รู้หรอกว่าพี่ชายเขามีคนที่ชอบอยู่แล้วรึยัง”
เหลียงซินเวย “ค่ะ” ออกมาเบาๆ และไม่ได้พูดอะไรต่อ
“เอาล่ะ เราไปดูร้านอื่นกันเถอะ” เจียงสื้อสื้อคว้าแขนของเธอแล้วจะเดินต่อ
“พี่สื้อสื้อ ไม่ต้องดูแล้วค่ะ” เหลียงซินเวยดึงเธอเอาไว้
เจียงสื้อสื้อขมวดคิ้ว “ทำไมล่ะ?”
“ชุดราตรีนั้นราคาสูงมาก ฉันซื้อไม่ไหว อย่างมากก็แค่ขอลาในวันงานก็พอค่ะ”
ถึงแม้จะพูดออกมาง่ายๆ แต่ก็ดูออกว่าเธอนั้นอยากไปร่วมงานมาก
เจียงสื้อสื้อครุ่นคิด “ฉันยืมให้เธอเอามั้ย”
พอเหลียงซินเวยได้ยินแบบนั้น จึงรีบส่ายหน้าทันที “ไม่เป็นไรค่ะ พี่สื้อสื้อ ถ้าพี่ให้ฉันยืม ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะใช้พี่หมดเมื่อไหร่”
ที่สำคัญถึงเงินจะคืนหมด แต่บุญคุณก็ไม่มีทางคืนหมดอยู่ดี
เจียงสื้อสื้อหัวเราะออกมา “เด็กโง่ ฉันหมายถึงยืมชุดราตรี ไม่ใช่ยืมเงินซะหน่อย”
“อ๋อ” เหลียงซินเวยทนไม่ได้จนต้องหัวเราะออกมา “ขอโทษค่ะ ฉันเข้าใจผิดไป”
“ไม่เป็นไร ถ้าเธอไม่รังเกียจที่ฉันเคยใส่แล้ว เราก็ไปดูที่บ้านฉันกัน โอเคมั้ย?”
“ก็ต้องไม่รังเกียจอยู่แล้วค่ะ” เหลียงซินเวยลังเลไปแป๊บหนึ่งถึงได้พยักหน้า “ตกลง ฉันไปลองดูก็ได้ค่ะ”
ทั้งคู่กลับไปบ้านตระกูลฟางพร้อมกัน ซ่างหยิงไม่อยู่บ้าน เธอออกไปข้างนอกแล้ว
เหลียงซินเวยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งอก คราวที่แล้วคุณหญิงฟางก็เคยเตือนเธอให้อยู่ห่างๆ ฟางยู่เชินแล้ว ถ้ารู้ว่าเธอมาที่บ้านตระกูลฟางละก็ จะต้องโกรธมากแน่ๆ
เจียงสื้อสื้อหันมามองเธอแวบหนึ่ง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เวยเวย ความจริงน้าสะใภ้เล็กนั้นไม่ได้หวังร้ายหรอก เธอไม่ต้องคิดมากกับคำพูดของท่านหรอกนะ”
จู่ๆ เธอก็พูดแบบนั้นออกมา เหลียงซินเวยก็ขมวดคิ้วทันที “พี่รู้ว่าเธอมาหาฉันเหรอคะ?”
เจียงสื้อสื้อพยักหน้า “ใช่ น้าสะใภ้เล็กเป็นคนบอกฉันเองน่ะ”
เธอคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า “ความจริงนะ คนเป็นพ่อแม่น่ะต่างก็ต้องการให้ลูกของตัวเองมีชีวิตที่ราบรื่นทั้งนั้นแหละ พอเจออุปสรรค บางทีก็ต้องมีช่วงที่ไขว้เขวกันบ้าง”
เหลียงซินเวยขำออกมาเบาๆ “ฉันเข้าใจความรู้สึกของคุณป้าดีค่ะ และที่เธอพูดมาก็ถูก ฉันมันไม่เหมาะกับพี่ฟางจริงๆนั่นแหละค่ะ”
“จะเหมาะสมรึเปล่านั้น พวกเธอไม่ได้เป็นคนกำหนดสักหน่อย” เจียงสื้อสื้อมองเธอด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่อง “เอาละ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว เราขึ้นไปดูเสื้อผ้ากันเถอะ”
……
อิตาลี
ตุ๊บ!
มือถือกระแทกเข้าที่กำแพงอย่างแรง มันแตกกระจายไปพร้อมๆ กับเสียง จากนั้นก็หล่นลงพื้น
ลี่ซาสีหน้าโกรธเกรี้ยว ใบหน้าที่เคยสะสวยถูกย้อมด้วยความโกรธจนดูดุร้ายขึ้นมาทันที
พ่อบ้านที่อยู่ข้างๆ พอเห็นมือถือที่แหลกละเอียดนั้นก็ถึงกับต้องกลืนน้ำลาย แล้วค่อยๆเดินมาข้างหน้า พูดห้ามด้วยท่าทางที่หวาดหวั่น “คุณหญิงครับ คุณอย่าโมโหไปเลยนะครับ ระวังจะโกรธจนร่างกายทรุดนะครับ”
“ฮึ” ลี่ซาขำออกมาอย่างไม่ชอบใจ “ทรุดแล้วมันจะทำไม? เขาจะหันมาสนใจฉันมากขึ้นรึไง!”
“คุณหญิง……”
พ่อบ้านอยากห้ามต่อ แต่ยังไม่ทันได้พูดจบ ก็ถูกขัดจังหวะไว้ก่อน
“พอแล้ว! ฉันไม่อยากได้ยินเรื่องไร้สาระ!”
สายตาที่โหดเหี้ยมมองมา พ่อบ้านก็รีบหลับตาและก้มหน้าลงทันที
ลี่ซาหัวเยาะเย้ยอย่างไม่ชอบใจออกมาต่อเนื่อง “เบอร์เกน คุณนี่มันแน่จริงๆ กล้าพาผู้หญิงคนนั้นไปออกงาน คุณเอาเมียหลวงอย่างฉันไปเก็บไว้ตรงไหนกัน?”
ถ้าไม่มีคนส่งรูปมาให้ เธอก็คงไม่รู้ว่าเบอร์เกนถึงขั้นหักหลังเธอด้วยการทำเรื่องที่ไร้ยางอายแบบนี้!
นึกถึงรูปนั่น เจียงสื้อสื้อกำลังคล้องแขนเบอร์เกนอย่างดูสนิทสนม โทสะของเธอพุ่งขึ้นไปบนหัวทันที
“อ้า!” เธอคว้าแก้วบนโต๊ะแล้วโยนลงพื้นด้วยความเหลืออด ทำเอาพ่อบ้านตกใจจนต้องกระโดดหลบไปข้างๆ
“เจียงสื้อสื้อ รอฉันก่อนเถอะแก!” เธอกัดฟันด้วยความโมโห ความโกรธเกรี้ยวในตาแทบจะทะลักออกมาแล้ว
ผ่านไปสักพัก ลี่ซาถึงได้ค่อยๆ ใจเย็นลง พูดออกมาเสียงดังว่า “พ่อบ้าน”
“คุณหญิง ผมอยู่นี่ครับ” “จองตั๋วที่ไปเมืองหลวงให้ฉันที”
“ครับ!” พ่อบ้านรับคำสั่งแล้วเดินดุ่มๆ ออกไป
ลี่ซากำสองมือแน่น สีหน้าเคร่งขรึมเหมือนน้ำหมึก แววตาเต็มไปด้วยความเดือดดาล
ครั้งนี้ เธอต้องจัดการนังสารเลวนั่นด้วยตนเอง!
ในเวลาเดียวกันนั้น ฝู้จิงเหวินกับข่ายสื้อลินได้นัดเจอกันที่ร้านกาแฟ
“ได้มารึยังครับ?” พอเจอหน้ากัน ฝู้จิงเหวินก็พูดเข้าประเด็นทันที
นั่นทำให้ข่ายสื้อลินรู้สึกไม่ชอบใจเอาซะเลย ส่งเสียงฮึดฮัด “แม้แต่คำทักทายยังไม่มี ก็ถามฉันมาแบบนั้นเลย ฝู้จิงเหวินคุณนี่มันไม่มีหัวใจจริงๆ!”
ไม่มีการเปลี่ยนแปลกทางสีหน้าของฝู้จิงเหวินเลยแม้แต่นิดเดียว และได้ถามย้ำไปอีกครั้งว่า “ได้มารึยังครับ?”
จริงๆ เล๊ย!
ข่ายสื้อลินโกรธจนยิ้มออกมา “ช่างเถอะ ขี้เกียจถือสาคุณแล้ว”
จากนั้น เธอก็พูดต่อว่า “โชคร้ายนะ ยังไม่ได้ของที่คุณต้องการเลย”
ฝู้จิงเหวินขมวดคิ้วอย่างแรง “ทำไมถึงช้าแบบนี้?”
“ช้าเหรอ?” ข่ายสื้อลินมองเขาด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ “ฝู้จิงเหวิน คุณไม่วช่ไม่รู้สักหน่อยว่าคูรี่น่ะระวังตัวแค่ไหน ต่อให้เป็นฉัน ก็ยังเข้าใกล้งานวิจัยที่สำคัญที่สุดนั่นไม่ได้เลย”
“ช่วงนี้คุณก็ใกล้ชิดกับชาร์สนั่นมากไม่ใช่เหรอครับ?” ฝู้จิงเหวินพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย สัมผัสถึงอารมณ์ความรู้สึกอะไรไม่ได้เลย
แต่พอถึงหูของข่ายสื้อลินนั้น กลับรับรู้ได้ถึงความหมายอีกแบบหนึ่ง
เธอกัดๆ ริมฝีปาก มุมปากอดไม่ได้ที่จะแย้มขึ้น “ทำไม คุณหึงเหรอคะ?”
“หึงเหรอ?” ฝู้จิงเหวินขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงได้ถามแบบนี้ออกมา
รู้ดีว่าในใจของเขานั่นมีแค่เจียงสื้อสื้อคนเดียวเท่านั้น ข่ายสื้อลินก็รู้สึกเหมือนเธอนั้นหาเรื่องใส่ตัวแท้
“ถือซะว่าฉันไม่เคยถามก็แล้วกัน” ข่ายสื้อลินทำหน้าจริงจัง “ถึงฉันจะใกล้ชิดกับชาร์ส ก็ไม่ได้หมายความว่าศาสตราจารย์คูรี่จะเชื่อใจฉันซะหน่อย ที่สำคัญ ชาร์สนั่นพึ่งพาอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
หลายครั้งที่เธอพยายามจะพูดอ้อมๆ ว่าอยากเข้าไปดูในห้องวิจัยของคูรี่หน่อย ไม่รู้ว่าชาร์สนั้นระวังตัวเกินไป หรือเขาไม่เคยใส่ใจกันแน่ เลยไม่เคยเข้าใจในสิ่งที่เธอต้องการสื่อเลย
“แล้วคุณคิดจะทำยังไงต่อครับ?”
ฝู้จิงเหวนถาม
ตอนนี้คนที่เขาสามารถพึ่งพาได้ก็มีแค่เธอเท่านั้น ถ้าแม้แต่เธอยังจนปัญญา เขาก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อไปแล้ว
“ก็ต้องลองหาทางดูแหละ” ข่ายสื้อลินเบ้ปาก “คุณไม่ต้องใจร้อน ในเมื่อฉันรับปากคุณแล้ว ฉันก็จะเอามันมาให้คุณแน่นอน”
“ไม่ใช่ว่าผมใจร้อน แต่เป็นเพราะสถานการณ์ของเธอนั้นรอต่อไปไม่ได้แล้ว”
ข่ายสื้อลินขมวดคิ้ว “ไวรัสนั่นยังไม่กำเริบไม่ใช่เหรอคะ?”
“ไวรัสในตัวเธอนั้นไม่ต่างอะไรกับระเบิดเวลา ไม่มีใครรู้ว่ามันจะระเบิดเมื่อไหร่ ถ้าสามารถกำจัดมันให้เร็วขึ้น ก็ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่านี้แล้ว”
“เหรอคะ?” ข่ายสื้อลินยิ้มเยาะเย้ย “คุณนี่ช่างทุ่มเทกับเธอซะจริงๆ เลยนะคะ”
“ผมแค่กำลังชดเชยให้เธอ” ฝู้จิงเหวินหรี่ตาลง “ถ้าไม่มีผม เธอก็คงไม่ติดไวรัสนั่น”
พอเห็นท่าทางที่รู้สึกผิดของเขา ข่ายสื้อลินก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที “พอแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้แล้ว”
ฝู้จิงเหวินเห็นเธอที่ทำหน้ารำคาญ คิ้วคมๆ ก็เลิกขึ้น “ไม่ว่าคุณจะรู้สึกไม่ชอบสื้อสื้อขนาดไหน ผมก็ยังอยากขอบคุณคุณแทนเธอจริงๆ ครับ”
“คำขอบคุณน่ะไม่ต้องแล้ว ขอแค่เรื่องนี้จบลง คุณก็จะปล่อยวางจากเธอได้ มันก็ถือเป็นการตอบแทนที่ดีที่สุดสำหรับฉันแล้ว”
ข่ายสื้อลินยืนขึ้น ขยับเข้ามาใกล้เขา ในตอนที่จมูกของทั้งคู่กำลังแตะกันนั้นเอง แล้วเธอก็หยุดลง ริมฝีปากแดงๆ แย้มขึ้น “ฝู้จิงเหวิน การที่ฉันช่วยคุณ ฉันนั้นช่วยด้วยความเต็มใจ แต่ฉันหวังว่าคุณจะไม่เหยียบย่ำความหวังดีของฉันนะคะ”
ฝู้จิงเหวินอึ้งไป เขามองเข้าในดวงตาของเธอ มีความรู้สึกที่แปลกประหลาดวิ่งผ่านเข้ามา แล้วเขาก็เบือนหน้าหนี
“เอาละ ฉันควรไปแล้ว” ข่ายสื้อลินยืดตัวตรง ยกกาแฟบนโต๊ะขึ้นมาดื่มทีเดียวหมด ยิ้มออกมาอย่างสดใส “ฝู้ ฉันเฝ้ารอเวลาที่เราจะได้พบกันครั้งหน้าอยู่นะคะ”
พูดจบ เธอก็เดินดุ่มๆ ออกไป
ฝู้จิงเหวินมองดูแก้วกาแฟที่เธอวางทิ้งไว้ ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังตั้งสติไม่ได้