ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 1227 คุณจะแต่งงานไม่ได้นะ
เจียงสื้อสื้อมองหน้าเขาด้วยสายตาลึกซึ้ง
ฉันเป็นภรรยาของคุณ แน่นอนว่าต้องรู้จักคุณสิคะ
แต่ว่า คำพูดนี้ ฐานะของเธอในตอนนี้ไม่สามารถพูดออกไปได้
พอเห็นว่าเธอไม่พูดอะไรเลย จิ้นเฟิงเฉินก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ “คุณตอบมาสิ เราเคยรู้จักกันมาก่อนเหรอครับ”
เจียงสื้อสื้อยกยิ้ม “ไม่รู้จักค่ะ ฉันจะรู้จักคุณมาก่อนได้ยังไงกัน”
“ผมก็นึกว่าคุณจะรู้จักผมมาก่อนซะอีก” จิ้นเฟิงเฉินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “ผมลืมเรื่องในอดีตไปจนหมด ผมก็เลยอยากรู้ว่าเมื่อก่อนผมเป็นคนยังไงกันแน่”
“เมื่อก่อนคุณเคยเป็นคนใจดีและอ่อนโยนมากค่ะ”
“หืม” จิ้นเฟิงเฉินมองหน้าเธออย่างสงสัย “คุณเพิ่งบอกว่าคุณไม่รู้จักผมมาก่อนไม่ใช่เหรอครับ”
“ฉันพูดตามความรู้สึกของฉันค่ะ” เจียงสื้อสื้อรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว “เพราะคุณดูอ่อนโยนมาก”
“อย่างนั้นเหรอครับ” จิ้นเฟิงเฉินหัวเราะ “อันที่จริงหยวนหยวนบอกว่าตอนนี้ผมอ่อนโยนขึ้นมาก เมื่อก่อนผมเป็นคนที่เย็นชามาก”
ไม่เลย คุณไม่เย็นชาเลยสักนิด
เจียงสื้อสื้อมองเขาด้วยสายตาลึกซึ้งอีกครั้ง
พอถูกเธอจ้องมองสายตาที่ลึกซึ้งมาก จิ้นเฟิงเฉินจึงถามอย่างขบขัน “ทำไมคุณถึงมองมาที่ผมแบบนี้ล่ะครับ”
“ฉันขอโทษค่ะ” เจียงสื้อสื้อรีบเคลื่อนสายตาหนีอย่างรวดเร็ว แล้วทัดผมที่หล่นอยู่บนแก้มของเขา แล้วพูด “คุณเหมือนสามีของฉันมาก”
จิ้นเฟิงเฉินเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ “คุณแต่งงานแล้วเหรอครับ”
“อืม ลูกก็มีด้วยกันแล้วค่ะ”
“มองไม่ออกเลยครับ” จิ้นเฟิงเฉินเหลือบมองเธอ ก่อนจะมองขึ้นไปบนฟ้า แล้วยกยิ้ม “ผมเองก็จะแต่งงานแล้ว”
เขาจะแต่งงานอย่างนั้นเหรอ
เจียงสื้อสื้อตกใจมาก “คุณ… คุณจะแต่งงานอย่างนั้นเหรอคะ”
“ใช่ครับ แปลกมากเหรอครับ” จิ้นเฟิงเฉินไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงดูตกใจมากขนาดนี้ ท่าทางเหมือนกับเห็นผีมา
“คุณแต่งงานได้ยังไง” เจียงสื้อสื้อร้อนใจขึ้นมาทันที “คุณจะแต่งงานไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาดนะคะ”
นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ทำไมเธอถึงดูต่อต้านมากขนาดนี้
“คุณเป็นอะไรกับผมหรือไง” จิ้นเฟิงเฉินเอ่ยถาม
“ฉันกับคุณ…” เจียงสื้อสื้อสบตากับสายตาที่สงสัยของเขา ถึงได้รู้ว่าตัวเองมีปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงมากเกินไป “ขอโทษด้วยค่ะ”
เธอก้มหน้าลง แล้วรีบปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ
บรรยากาศรอบด้านเงียบลง
สักพัก เจียงสื้อสื้อก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “คุณชายเฟิงเฉินคะ คุณรักคุณหนูหรือเปล่าคะ”
“อืม…” จิ้นเฟิงเฉินนิ่งคิดอย่างจริงจัง “ผมเองก็ไม่รู้ว่าผมรักเธอหรือเปล่า แต่ผมคิดว่าผมจะทำผิดกับเธอไม่ได้ เพราะเธอช่วยชีวิตผมไว้”
“เธอบอกกับคุณว่าอย่างนั้นเหรอคะ” เจียงสื้อสื้อถาม
“อืม”
“เฮอะ” เจียงสื้อสื้อยิ้มเยาะเย้ย “เธอช่างกล้าพูดจริงๆ”
เสียงนั้นเล็กมาก จิ้นเฟิงเฉินได้ยินไม่ชัดเจน “คุณพูดว่าอะไรนะ”
“ไม่มีอะไรค่ะ” เจียงสื้อสื้อยกยิ้ม “ถ้าเมื่อก่อนคุณเคยแต่งงานแล้ว ตอนนี้จะแต่งงานอีกครั้ง จะไม่รู้สึกผิดกับอดีตภรรยาของคุณบ้างเหรอคะ”
“อดีตภรรยาของผม…” จิ้นเฟิงเฉินก้มหน้าลง มุมปากของเขาเหมือนจะกระตุกเล็กน้อย “แต่ผมลืมไปหมดแล้ว”
“เพียงแค่เพราะคุณลืมไปแล้ว ก็สามารถแต่งงานกับคนอื่นได้อย่างนั้นเหรอคะ”
เจียงสื้อสื้อรู้ว่าเขาลืมอดีตไปแล้ว แต่ก็ยังอดที่จะโกรธไม่ได้
จิ้นเฟิงเฉินนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ที่จริงแล้วผมเคยพบกับอดีตภรรยาของผมแล้ว ภาพตอนที่เธอร้องไห้ยังไม่สามารถลบเลือนไปจากสมองจนถึงทุกวันนี้”
เขาพูดแล้วยิ้มอย่างขมขื่น “ทำไมผมถึงนอนไม่หลับ ก็เพราะว่าพอหลับตาลง ใบหน้าของเธอที่กำลังร้องไห้อย่างเสียใจก็ผุดขึ้นมาในสมองของผม”
พอได้ยินเขาพูดออกมาจากปากของเขาเอง หัวใจของเจียงสื้อสื้อก็เจ็บปวดอย่างรุนแรง ขอบตาของเธอร้อนผ่าว แล้วเริ่มมีม่านน้ำตาคลอในดวงตา
“ฉันจะคิดได้ไหมคะ ว่าในใจของคุณยังมีเธออยู่”
จิ้นเฟิงเฉินหันกลับไปมอง แล้วขมวดคิ้วแน่น “คุณหมายความว่าผมยังไม่ลืมเธออย่างนั้นเหรอครับ”
เจียงสื้อสื้อเม้มปากยกยิ้ม “อย่างน้อยคุณก็ยังจำเธอได้ในส่วนลึกของความทรงจำคุณ”
จิ้นเฟิงเฉินเริ่มลังเล “แต่ว่า… ผมจำเธอไม่ได้จริงๆ”
“เจ้าจะต้องจำได้แน่นอนค่ะ” เจียงสื้อสื้อลุกขึ้นยืน แล้วสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะหันหลังกลับ แล้วมองเขาด้วยรอยยิ้มบางๆ “คุณชายเฟิงเฉินคะ คุณจะต้องจำอดีตภรรยาของคุณได้อย่างแน่นอนค่ะ”
พอพูดจบ เธอก็โค้งตัวให้เขา แล้วเดินจากไป
จิ้นเฟิงเฉินถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังในสนามหลังบ้านอันกว้างขวางแห่งนี้ เมื่อตะกี้มีเธออยู่ด้วยจึงไม่คิดว่ามันเงียบเกินไป พอเธอเดินจากไป ความเงียบตรงหน้าก็ทำให้เขาขมวดคิ้วขึ้นมา
ในคืนนี้ จิ้นเฟิงเฉินนอนหลับสนิท ไม่ฝันเห็นหญิงสาวที่เอาแต่ร้องไห้เลย
……
เช้าวันรุ่งขึ้น ฟางยู่เชินมีอาการเมาค้าง และปวดหัวมาก
ดูท่าทางทรมานของเขา ซ่างหยิงก็อดที่จะบ่นพึมพำไม่ได้ “ลูกบอกมาสิว่าดึกๆดื่นๆทำไมถึงดื่มเยอะขนาดนี้ จริงๆเลยนะ โตขนาดนี้ยังไม่รู้จักยับยั้งซะบ้าง”
“คุณแม่ครับ ผมทรมานมากพออยู่แล้ว อย่าบ่นอีกเลยครับ” ฟางยู่เชินนวดขมับที่ปวดเมื่อย แล้วพูดขอร้อง
“ลูกคิดว่าแม่อยากจะบ่นมากหรือไง” ซ่างหยิงมองเขาอย่างไม่พอใจ แล้วยื่นการ์ดเชิญบนโต๊ะให้เขา “นี่เป็นงานฉลองครบรอบของห้างสรรพสินค้าตระกูลเย่ ลูกต้องไปร่วมงานด้วย”
“เมื่อไหร่ครับ”
“คืนนี้”
ฟางยู่เชินวางมือลง แล้วพูดด้วยความประหลาดใจ “คืนนี้เหรอครับ”
“ใช่ มีอะไรหรือเปล่า” ซ่างหยิงมองเขาด้วยความสงสัย
“ผม…ยังไม่หายเมาค้างเลยนะครับ คืนนี้จะไปงานเลี้ยงได้ยังไงกัน”
“ฟางยู่เชิน” ซ่างหยิงวางตะเกียบในมือของเธอลง “อย่าคิดจะหาเหตุผลหลบเลี่ยงนะ ลูกต้องไปเข้าร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้”
พอเผชิญกับแรงกดดันของมารดาตนเอง ฟางยู่เชินก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ก็ได้ครับ ผมจะไปร่วมงานด้วย”
ซ่างหยิงก็ยิ้มอย่างพอใจ เธอหยิบตะเกียบของเธอขึ้นมาอีกครั้ง แล้วพูดอย่างอ่อนโยน “พ่อของลูกก็จะไปด้วยเหมือนกัน”
“คุณพ่อก็ไปด้วยเหรอครับ” ฟางยู่เชินรู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที “ไปทำไมครับ”
“เขาไปร่วมงานด้วยไม่ได้หรือไง” ซ่างหยิงไม่ตอบแต่ถามกลับ
“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะครับ ผม…” ฟางยู่เชินคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาคิดว่าตัวเองคงจะคิดมากไปเอง “ช่างเถอะครับ ถือว่าผมไม่ได้ถาม”
หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ เขาก็ลุกเดินออกไปทันที
ในเวลานี้เอง ซ่างหยิงจึงพูดขึ้นมา “ลูกต้องอยู่ที่นั่นจนจบงาน ไม่อย่างนั้นแม่ไม่ปล่อยลูกแน่ๆ”
พอได้ยินเธอพูดแบบนี้ ฟางยู่เชินก็ตระหนักได้ว่าบางทีคงไม่ใช่ว่าเขาคิดมากไปเอง แต่พวกเขาคงจะมีจุดประสงค์แอบแฝงอยู่จริงๆ
เขานิ่งคิดอยู่สักพัก แล้วพูดขึ้นมา “คุณแม่ครับ ผมขอเตือนไว้ก่อนนะครับ อย่าคิดจะบังคับผม ช่วงนี้ในบริษัทมีงานยุ่งมากพออยู่แล้ว ผมยุ่งมากจริงๆ”
ซ่างหยิงฟังแล้วรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา “บังคับอะไรของลูก คุณคิดว่าพ่อแม่เป็นอะไร”
“ก็ผมกลัวว่าคุณแม่จะจัดการหาคู่หมั้นให้ผมโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผมนี่ครับ”
“ลูกคิดมากเกินไปแล้ว” ซ่างหยิงหลบสายตาอย่างร้อนตัว แล้วโบกมือไล่อย่างไม่พอใจ “ไหนบอกงานยุ่งไงล่ะ รีบไปทำงานเถอะ”
“งั้นผมไปแล้วนะครับ”
หลังจากมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอสักพัก ฟางยู่เชินก็เดินออกไป
ทันทีที่เขาเดินจากไป ซ่างหยิงก็วางตะเกียบลงทันที แล้วขมวดคิ้ว พร้อมกับพึมพำกับตัวเองเบาๆ “เจ้าลูกคนนี้ทำไมถึงฉลาดแบบนี้นะ”
จากที่เธอรู้จักลูกชายของเธอมา ถ้าหากจู่ๆก็ประกาศการแต่งงานระหว่างสองตระกูลในคืนนี้ คงจะทำให้เขาไม่พอใจเป็นอย่างมากแน่นอน
หรือว่าจะบอกให้พ่อของเขาชะลอเรื่องนี้ไปก่อนดี
หลังจากที่คิดอยู่สักพัก สุดท้ายซ่างหยิงก็ยอมแพ้ไป
ช่างเถอะ เดิมทีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์สองตระกูลก็เป็นการตัดสินใจของพ่อแม่อยู่แล้ว เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะคัดค้าน