ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 1258 ใช้ความรุนแรงตอบกลับความรุนแรง
ตรงข้ามของเธอ เป็นผู้หญิงที่ได้แต่งตัวหรูหรา ใบหน้าที่ได้แต่งมาสวย เวลานี้ก็ได้เต็มไปด้วยความโมโห
เด็กชายที่เธอจูงมืออยู่นั้นบนหน้าก็ได้มีรอยแผล เลือดซึมเล็กน้อย มองแล้วทำให้คนตกใจไม่น้อย
“เธอดูสิหน้าลูกชายของฉันโดนข่วนขนาดนี้แล้ว คำพูดขอโทษไม่กี่คำก็จบแล้วเหรอ? นี่ถ้าเกิดมีแผลเป็น ต่อไปจะทำยังไง?” เธอก็ได้ถามด้วยความโมโห
พอได้รับสาย ก็ได้รีบมาที่โรงเรียน พอเธอเห็นผู้ปกครองของอีกฝ่ายก็ได้ขอโทษไม่หยุด ต่อให้อีกฝ่ายนั้นด่าแรงขนาดไหน เธอก็ได้ทนรับทั้งหมด
“ขอโทษค่ะ งั้นคุณว่าทำยังไงถึงจะเหมาะสมคะ?” เหลียงซินเวยก็ได้ถามออกไปอย่างระวัง
“ให้ลูกชายฉันข่วนกลับไปทีหนึ่ง”
เหลียงซินเวยคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะพูดคำขอแบบนี้ออกมา อึ้งไปสักพัก จากนั้นก็ได้ตั้งตัวได้ พูด “คุณแม่เผิงเผิง ใช้ความรุนแรงตอบกลับความรุนแรงมันไม่เหมาะมั้งคะ?”
“ไม่เหมาะ?” คุณแม่เผิงเผิงได้หัวเราะอย่างเย็นชา “งั้นก็ให้ลูกชายของฉันได้รับบาดเจ็บแบบนี้ฟรีๆ เหรอ?”
“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นค่ะ ฉันหมายถึงเรื่องค่ารักษาฉันเป็นคนออก ไม่ว่าพวกคุณใช้ไปเท่าไหร่ฉันออกทั้งหมดค่ะ”
พอได้ยินแบบนั้น อีกฝ่ายก็อารมณ์ไม่ดีเลย ก็ได้พูดเสียงดังว่า “พวกเราเหมือนคนที่ขาดเงินเหรอ? ไม่ว่ายังไงลูกของฉันก็ต้องต่อยคืนไปที!”
ท่าทางของอีกฝ่ายไม่มีทางที่จะพูดให้เข้าใจกันได้ดีในประโยคสองประโยคแน่ เหลียงซินเวยก็ไม่ได้สังเกตเห็นในจุดนี้
ถ้าเกิดตกลงยอมรับคำของเธอจริง ให้ลูกชายของเธอมาต่อยอานอาน งั้นตัวเองต้องปวดใจมากแน่ๆ
ในเวลานี้ อานอานก็ได้วิ่งเข้ามา ชี้ไปที่เด็กชายตรงข้าม พูด “แม่ครับ เขามาโยนกระเป๋าผมก่อน และก็ไม่ขอโทษ ผมถึงได้ต่อยเขา”
ได้ยินแบบนั้น เหลียงซินเวยขมวดคิ้ว ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายได้มาหาเรื่องอานอานก่อนจริง แต่ไม่ว่ายังไงการต่อยคนอื่นมันไม่ดี
“อานอาน ขอโทษเขา”
อานอานคิดว่าตัวเองได้ฟังผิดไป “แม่ครับ!!”
“ลูกต่อยคนก็คือความผิดของลูก เขาได้โยนกระเป๋าของลูก ลูกสามารถที่จะให้เขาเก็บกลับมาแล้วขอโทษ แต่จะลงไม้ลงมือไม่ได้”
อานอานเม้มปาก ใบหน้าเล็กๆ ก็ได้แดง ไม่ยอมที่จะขอโทษ
คุณแม่เผิงเผิงเห็นว่าอานอานไม่ยอมที่จะขอโทษ ก็ได้พูดเสียงแหลมว่า “ลูกชายของเธอมี ‘ศักดิ์ศรี’ จริงๆ นะ! อายุน้อยๆ ขนาดนี้ก็ได้ต่อยคนอื่น โตขึ้นมายังจะเหลือเหรอ! อย่างที่คิดลูกคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวนี้มันแย่จริงๆ!”
เหลียงซินเวยขมวดคิ้ว “ถ้าไม่เป็นเพราะว่าลูกชายของคุณมาโยกกระเป๋าของลูกชายฉัน ลูกชายของฉันก็ไม่ลงไม่ลงมือกับเขาหรอก”
เดิมทีเธอยังคิดว่าเรื่องนี้อานอานเป็นคนผิดทั้งหมด และก็สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าแม่ของอีกฝ่ายฉันปวดใจที่ลูกชายเป็นแบบนี้ แต่ว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับที่อานอานเป็นลูกแม่เลี้ยงเดี่ยวเหรอ?
“โยว่ ตอนนี้เธออยากจะบอกว่าเป็นความผิดของลูกชายฉันเหรอ?” แม่ของเด็กชายก็ได้ถามด้วยน้ำเสียงประหลาด
เหลียงซินเวยไม่อยากที่จะพูดกับเธอไม่มากกว่านี้ ก็ได้หันไปพูดกับอานอาน “รีบขอโทษ ไม่งั้นแม่จะโมโหแล้วนะ!”
อานอานกลัวเธอโมโหที่สุดแล้ว
พอเธอพูดแบบนี้ ต่อให้อานอานไม่เต็มใจขนาดไหน ก็ต้องพูดขอโทษไปอย่างว่าง่าย “ขอโทษ เผิงเผิง ฉันไม่ควรจะต่อยนาย”
เผิงเผิงก็ได้เชิดหน้าขึ้น ใบหน้าก็ได้เต็มไปด้วยความได้ใจแบบนั้น พูด “แม่ของฉันพูดแล้ว ขอโทษไปก็ไม่มีประโยชน์ นายต้องให้ฉันต่อยกลับไปทีหนึ่ง”
ครูก็ได้มองอยู่ข้างๆ เงียบๆ มาตลอด คิดที่จะเอาเรื่องนี้ให้ผู้ปกครองจัดการกันเอง
แต่ว่าทั้งสองฝ่ายเจรจากันนานขนาดนี้แล้ว เรื่องก็ยังจัดการไม่เสร็จ
เธอทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ก็ได้เดินเข้าไป “คุณแม่เผิงเผิงค่ะ เรื่องที่เด็กตบตีกันมันเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ อีกอย่างอานอานก็ขอโทษแล้ว คุณก็ยกโทษให้เขาเถอะค่ะ”
เห็นว่าครูออกตัวพูดแทนอานอาน คุณแม่เผิงเผิงก็ได้โมโหกว่าเดิม
เธอก็ได้ลากเผิงเผิงมาข้างหน้า จับคางของเขา เอาแก้มที่ได้รับบาดเจ็บให้พวกเหลียงซินเวยดู
“พวกคุณดูสิ นี่เป็นการต่อยธรรมดาเหรอ? นี่เป็นการทำร้ายร่างกายโดยเจตนา!”
“คำพูดของคุณดูเกินไปหรือเปล่าคะ?” คิ้วของครูก็ได้ขมวดแน่น
“ไม่ได้ต่อยไปบนตัวของลูกเธอ เธอก็คงคิดว่าไม่ร้ายแรงอยู่แล้ว” คุณแม่เผิงเผิงก็ได้จ้องอานอานสักพัก พูดต่อว่า “ทางโรงเรียนจำเป็นที่จะต้องจัดการเรื่องนี้”
“คุณอยากให้ทางโรงเรียนจัดการยังไงคะ?” คุณครูถาม
“ให้เขาออกจากโรงเรียน!”
พอคำพูดนี้ออกมา คุณครูกับเหลียงซินเวยก็ได้อึ้งไปเลย
เรื่องมันไม่ได้ร้ายแรงจนถึงขั้นต้องให้อานอานออกจากโรงเรียน
“ขอแค่เขาออกจากโรงเรียน เรื่องนี้ฉันก็ปล่อยผ่านไปแล้ว”
คุณครูก็ได้มีรอยยิ้มที่ไม่รู้จะทำยังไงออกมา “คุณแม่เผิงเผิง เรื่องไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น คุณพาลูกของคุณไปโรงพยาบาลก่อน ค่าใช้จ่ายทั้งหมด คุณแม่อานอานต้องรับผิดชอบทั้งหมดแน่นอนค่ะ”
“ฉันบอกว่าบ้านฉันไม่ขาดแคลนเงิน! ฉันจะให้ลูกชายของฉันโดนคนต่อยฟรีๆ ไม่ได้!”
ไม่ว่าคุณครูจะพูดยังไง เธอก็ไม่ยอมที่จะคืนดี
“ขอแค่ให้เขาออกจากโรงเรียน เรื่องนี้ก็ปล่อยผ่านไป” ท่าทางของเธอหนักแน่นมาก ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนใจ
เหลียงซินเวยก็ได้สูดหายใจเข้าลึกๆ “คุณแม่เผิงเผิง เอางี้คุณตบฉันเถอะค่ะ ดีไหม?”
เธอก็ได้อาศัยตอนที่อีกฝ่ายไม่ได้ตั้งตัว แล้วก็จับมือของอีกฝ่ายมาตบไปที่หน้าของตัวเอง
เพี้ยะ!
คนอื่นก็ได้อึ้งไปเลย
เหลียงซินเวยไม่สนใจความเจ็บ ก็ได้ยิ้มให้คุณแม่เผิงเผิง ถาม “พอไหมคะ?”
คุณแม่เผิงเผิงก็ได้อึ้งไปเลย คิดไม่ถึงว่าเธอจะทำแบบนี้
“ไม่พอล่ะก็ ก็ตบต่ออีกกี่ทีเลยค่ะ”
พูดจบ เหลียงซินเวยก็ได้ตบตัวเองต่อไปที่สองที
คุณแม่เผิงเผิงก็ได้รีบดึงมือตัวเองกลับ ด่าไปว่า “ประสาท” เสร็จ ก็ได้รีบพาลูกชายออกไป
วิ่งเหมือนว่าข้างหลังได้มีปีศาจไล่ตามมาอย่างงั้น
“คุณแม่อานอาน คุณไม่เป็นไรนะคะ?” คุณครูก็ได้มองเหลียงซินเวยด้วยความเป็นห่วง
เพราะว่าได้ตบติดต่อกัน บวกกับเหลียงซินเวยไม่ได้เบามือ หน้าก็ได้บวมขึ้นมา
เหลียงซินเวยยิ้มแล้วส่ายหน้า “ฉันไม่เป็นไรค่ะ”
เธอก็ได้ก้มหน้ามองอานอาน ดวงตาของอานอานก็ได้มีน้ำตา สองมือเล็กๆ ได้กำหมัดแน่น
ในใจก็ได้ปวดอย่างไม่ได้ควบคุม
เหลียงซินเวยก้มตัวไป ยื่นมือไปลูบหัวอานอาน พูดอย่างอ่อนโยนว่า “แม่ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องกังวลนะคะ”
“ขอโทษครับ คุณแม่” อานอานก็ได้ก้มหัวลง พูดขอโทษเสียงเบา
“เด็กดี ต่อไปไม่ต้องต่อยคนอื่นแล้ว รู้ไหมครับ?” เหลียงซินเวยรู้ว่าความจริงแล้วในใจของเขารู้สึกน้อยใจมากๆ ก็ทำใจด่าเขาไม่ได้
อานอานพยักหน้าอย่างแรง “รู้แล้วครับ”
“คุณแม่อานอาน คราวนี้เผิงเผิงเป็นคนผิดจริงๆ ค่ะ” คุณครูมองอานอานที่ตาแดง ก็ได้ถอนหายใจเบาๆ “เด็กคนนั้นดื้อมากตลอด ก็ทำให้ฉันปวดหัวไม่น้อยเหมือนกันค่ะ ต่อไปฉันจะระวังมากกว่าเดิม”
เหลียงซินเวยหัวเราะ “ไม่เป็นไรค่ะ คุณครู”
เหลียงซินเวยก็ได้พาอานอานเดินออกจากโรงเรียน แล้วก็ได้โบกรถอยู่ข้างถนน ขึ้นรถ เธอถึงได้พบว่าฟางยู่เชินโทรมาหาเธอหลายสาย
เธอก็ได้รีบโทรกลับไป
ไม่นานทางนั้นก็ได้รับสาย
เสียงที่ดูรีบร้อนของฟางยู่เชินก็ได้ส่งมา “ทำไมเธอไม่รับสาย? เกิดเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
หลายปีมานี้ไม่ว่าเจอกับเรื่องอะไร ตัวเองก็เป็นคนแบกรับคนเดียวมาตลอด
อยู่ๆ มีคนมาเป็นห่วงตัวเองแบบนี้ จมูกของเหลียงซินเวยก็ได้เริ่มตัน เธอก็ได้รีบหันหน้าไปทางอื่น มองไปนอกหน้าต่าง ไม่อยากให้อานอานเห็นว่าตัวเองร้องไห้
ไม่ได้ยินการตอบกลับ ฟางยู่เชินก็ได้เอาโทรศัพท์มาดูสักพัก
สายก็ได้ติดอยู่นี่นา
เขาก็ได้ลองเรียกไปคำ “เวยเวย?”
“ฉันอยู่ค่ะ” เหลียงซินเวยก็ได้สูดน้ำมูก ต่อให้เขามองไม่เห็น ก็ยังฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย “ฉันไม่เป็นไรค่ะ คุณไม่ต้องเป็นห่วง”