ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 1389 ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง
“สื้อสื้ออยู่ไหน?”
จิ้นเฟิงเฉินคว้าจับคนคนหนึ่งไว้ และถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
เมื่ออีกฝ่ายเห็นเขา ก็รีบก้มหน้าด้วยความเคารพทันที “คุณชายครับ”
“ผมถามว่าสื้อสื้ออยู่ไหน?”
“รถของคุณนายและคุณชายรองชนเข้ากับต้นไม้ครับ……”
จิ้นเฟิงเฉินมองยังไปทิศทางที่เขากำลังชี้ เมื่อเขาเห็นรถของจิ้นเฟิงเหรา หัวใจของเขาก็หยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง
สื้อสื้อของเขา!
ดวงตาของเขาแดงก่ำขึ้นมาทันที และเขาก็ชักขารีบวิ่งพุ่งเข้าไป
ในขณะนั้นเอง ก็มีคนรีบวิ่งพุ่งเข้าขวางเขาไว้
สีหน้าของจิ้นเฟิงเฉินมืดครึ้มจนดูน่ากลัว และดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น
“หลีกไปซะ!” เขาส่งเสียงตะโกนอย่างดัง จากนั้นเขาก็ยกขาขึ้น แล้วเตะคนคนนั้นจนล้มลงกับพื้นอย่างดุร้าย
เมื่อคนอื่นๆ เห็นดังนั้น ก็พากันล้อมตัวเค้าไว้
“ไสหัวออกไปสะ!”
ในใจของจิ้นเฟิงเฉินอยากไปข้างๆ เจียงสื้อสื้อ ดังนั้นเขาก็ลงมือไปอย่างรวดเร็วและไร้ความปรานี แม้ว่าคนของฝ่ายตรงข้ามจะเยอะ แต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย
ไม่นาน เสียงคร่ำครวญก็ดังขึ้นทีละคน
“หลีบไปสะ!” จิ้นเฟิงเฉินกำหมัดแน่น แล้วพูดประโยคนั้นออกมา
คนที่ยืนขวางอยู่หน้าเขาต่างก็พากันถอยออกไปด้วยความกลัว
แต่จิ้นเฟิงเฉินไม่ทันได้สังเกตว่ามีคนกำลังจะใช้ไม้เบสบอลฟาดเขาจากข้างหลัง
“คุณชายระวัง!” กู้เนี่ยนรีบวิ่งพุ่งเข้าไปถีบคนนั้นจนล้มลง
เขายืนอยู่ข้างหลังจิ้นเฟิงเฉิน แล้วมองดูผู้คนที่ล้อมรอบตัวเขาอย่างระมัดระวังอีกครั้ง “คุณชายครับ ตรงนี้ไว้ผมจัดการเอง คุณชายรีบไปดูคุณผู้หญิงพวกเขาเถอะครับ”
ถ้าเข้าไปยุ่งกับอีกฝ่ายอีก เขาก็กลัวว่าคุณชายรองและคุณนายจะต้องตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่
จิ้นเฟิงเฉินเอียงตามองเขาไปแวบหนึ่ง “งั้นก็ระวังตัวด้วยนะ”
กู้เนี่ยนยิ้ม “คุณชาย คุณวางใจได้ครับ ผมถูกคุณชายฝึกมาด้วยตัวเองเลยนะ”
“ถึงอย่างนั้นก็ต้องระวังตัวด้วยนะ”
เมื่อเสียงเงียบลง จิ้นเฟิงเฉินก็ถีบคนที่อยู่ข้างหน้าเขาจนล้มลง และภายใต้การคุ้มกันของกู้เนี่ยน เขาก็วิ่งไปที่เจียงสื้อสื้อพวกเขาอย่างรวดเร็ว
ที่เกิดเหตุมันสะเทือนขวัญอย่างมาก หน้ารถบุบไปทั้งหมด และยังมีควันระเหยออกมา ทั้งกระจกหน้ารถแตกแล้วด้วย
จิ้นเฟิงเฉินยื่นมือออกไปเปิดประตูรถ แต่มันถูกล็อกไว้แน่น และไม่สามารถเปิดได้เลย
จากทางกระจกรถ สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าทั้งจิ้นเฟิงเหราและเจียงสื้อสื้อล้วนถูกดันออกไปอยู่ระหว่างถุงลมนิรภัยและเบาะนั่ง
กระทั่งหัวของจิ้นเฟิงเหราก็ยังมีเลือดออกอยู่ และเลือดแดงเข้มก็ไหลลงมาตามถุงลมนิรภัย
“สื้อสื้อ เฟิงเหรา!”
จิ้นเฟิงเฉินใช้แรงตีกระจกรถ และเรียกชื่อพวกเขา แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับใดๆ
เขามองไปที่ทั้งสองข้าง แล้วหยิบหินจากพื้นขึ้นมา จากนั้นก็ทุบไปที่หน้าต่างรถ
เมื่อกระจกแตกแล้ว เขาก็ไม่สนว่าจะได้รับความอันตรายจากการถูกบาดเลยสักนิด จากนั้นก็ยื่นมือเข้าไปปลดล็อกรถ
ตอนที่ชนต้นไม้นั้น ดวงตาของเจียงสื้อสื้อเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และในวินาทีต่อมา เธอก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย
ในขณะนั้นเอง เธอก็รู้สึกตัวอยู่ในความขมุกขมัว และเหมือนว่าเธอจะได้ยินเสียงของจิ้นเฟิงเฉิน
“เฟิงเฉิน……” เธอขยับริมฝีปากอย่างยากลำบาก และพยายามเรียกเขา แต่เธอก็ไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้เลย
แน่นอนว่าจิ้นเฟิงเฉินคนเดียวมันไม่สามารถช่วยคนสองคนได้ เขาจึงหันไปที่กู้เนี่ยนที่อยู่ไม่ไกล และตะโกนไปว่า “กู้เนี่ยน รีบมาช่วยหน่อยเร็ว”
กู้เนี่ยนที่ยังพัวพันกับศัตรู ทันทีที่เขาได้ยินเสียง เขาก็รีบกำจัดให้หมดอย่างรวดเร็วขึ้น ภายในไม่กี่นาที ศัตรูทั้งหมดก็ล้มลงแล้วคร่ำครวญอยู่กับพื้น
ลงกับพื้น
จากนั้น เขาก็รีบวิ่งไปหาจิ้นเฟิงเฉิน
เมื่อเห็นสถาพในรถ เขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ “นี่มัน…”
“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว นายไปอีกฝั่ง แล้วพาเฟิงเหราออกมา” จิ้นเฟิงเฉินสั่งไปด้วย พร้อมกับก้มลงไปปลดเข็มขัดนิรภัยของเจียงสื้อสื้อไปด้วย
เมื่อเจียงสื้อสื้อเริ่มได้สติ เธอก็พยายามเปล่งเสียงออกมาแล้วพูดว่า “เฟิงเฉิน…… ”
เมื่อได้ยินเสียง ดวงตาของเฟิงเฉินก็ร้อนผ่าวขึ้นมา “สื้อสื้อ ผมมาช่วยคุณแล้วนะ”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่คุ้นเคยและอุ่นใจ
เจียงสื้อสื้อโค้งมุมปากขึ้น “ฉันรู้ว่าคุณจะต้องมาช่วยฉัน”
“คุณยังไม่ต้องพูดอะไรเลยนะ ผมจะรีบพาคุณไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้”
จิ้นเฟิงเฉินอุ้มเธอออกมาจากรถ
ในขณะนั้นเอง เห้อซูหานก็ขับรถเข้ามา
เอี๊ยด….
ยางรถเสียดสีกับพื้นจนแสบแก้วหูก็ดังขึ้นมา และรถก็จอดนิ่งอยู่ข้างๆ
เห้อซูหานรีบลงมาจากรถ และเข้ามาช่วยกู้เนี่ยน
ด้วยความร่วมแรงร่วมใจกันของกู้เนี่ยนและเห้อซูหาน จิ้นเฟิงเหราจึงถูกนำตัวไปที่รถของเห้อซูหาน
“คุณชายครับ แล้วคุณนายอยู่ที่ไหนครับ?” เห้อซูหานหันไปถามจิ้นเฟิงเฉิน
“ผมจะไปจะขับรถมาเองครับ” ไม่ทันให้จิ้นเฟิงเฉินตอบกลับ กู้เนี่ยนก็แย่งพูดขึ้นมาก่อน
“เฟิงเฉิน ฉันเวียนหัวมากเลย” เจียงสื้อสื้อนอนอยู่ในอ้อมแขนของจิ้นเฟิงเฉิน โดยเธอหลับตาหลับ และค่อยๆ หมดสติไป
จิ้นเฟิงเฉินกอดเธอไว้แน่น “ผมอยู่นี่แล้ว พวกเราจะไปโรงพยาบาลตอนนี้แล้ว”
“ค่ะ” เจียงสื้อสื้อยกริมฝีปากขึ้น และในวินาทีต่อมาเธอก็ตกอยู่ในความมืดอีกครั้ง
จิ้นเฟิงเฉินสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ เขาจึงรีบเรียกไปว่า “สื้อสื้อ สื้อสื้อ……”
แต่ก็ไม่มีการตอบรับใดๆ
เจียงสื้อสื้อหมดสติไปอีกครั้ง
ในขณะนั้นเอง กู้เนี่ยนก็ขับรถมาจอดไว้ข้างๆ แล้วลงจากรถพร้อมกับเปิดประตูเบาะหลัง
จิ้นเฟิงเฉินจึงรีบอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนแล้วเข้าไปนั่งในรถ
กู้เนี่ยนขึ้นรถอย่างรวดเร็ว พร้อมกับสตาร์ทรถ และขับไปที่โรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว
อิ้งเทียนที่ยังอยู่ ก็ได้พาคนมาจัดการคนของอีกฝ่ายทั้งหมดไป
“ใครเป็นคนส่งพวกแกมากันแน่?” อิ้งเทียนจับคนหนึ่งขึ้นมาแล้วถามอย่างเคร่งขรึม
ไม่ว่าเขาจะขู่และหลอกล่อด้วยผลประโยชน์ยังไง อีกฝ่ายก็ไม่ยอมพูดออกมาเลย
………
ในท้ายที่สุด อิ้งเทียนก็พูดด้วยใบหน้าที่มืดครึ้ม และสั่งไปว่า “ควบคุมพวกมันไว้ให้ดี และไม่อนุญาตปล่อยไปแม้แต่คนเดียว”
จิ้นเฟิงเหราได้รับบาดอย่างสาหัสที่สุด เพราะหัวของเขามีเลือดออก ทั้งแขนและใบหน้าของเขาก็มีบาดแผลขีดข่วนจากกระจกที่แตก และเลือดก็เริ่มแข็งตัวแล้วด้วย
เขาถูกส่งไปที่ห้องผ่าตัดเพื่อรับการช่วยชีวิต
ส่วนกู้เนี่ยนและเห้อซูหานก็ยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูห้องผ่าตัด
ทั้งสองมองหน้ากันไปแวบหนึ่ง และใบหน้าก็เต็มไปด้วยความกังวล
เห้อซูหานถอนหายใจ “เมื่ออิ้งเทียนบอกฉันว่าหาตัวคุณชายเจอแล้ว ฉันก็ทิ้งงานในมือทิ้งไปและรีบตามมาทันที แต่คิดไม่ถึงเลยว่าทันทีที่กลับมาจะเจอเรื่องแบบนี้”
กู้เนี่ยนตบไหล่เขา “ถึงแม้คุณชายจะกลับมาแล้ว แต่ก็ไม่มีวันไหนที่จะสงบเลย”
“ใครกันที่อยากตั้งตัวเป็นศัตรูกับคุณนาย?” เห้อซูหานถามอย่างสงสัย
“เรื่องมันยาว ไว้ฉันค่อยๆ บอกนายทีหลังละกัน”
กู้เนี่ยนมองไปที่ประตูห้องผ่าตัดที่ปิดอยู่ “สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณชายรองจะต้องไม่เป็นอะไร ไม่เช่นนั้นเราจะไม่สามารถอธิบายให้คุณชายฟังได้
เห้อซูหานมองไปยังห้องผ่าตัด ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ส่วนเจียงสื้อสื้อนั้นอยู่ในห้องฉุกเฉิน หลังจากผ่านการตรวจของคุณหมอแล้ว แค่เธอกระทบกระเทือนที่สมองเล็กน้อย และไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง
“อีกไม่นานคนไข้ก็จะฟื้นเองครับ” คุณหมอพูด
จิ้นเฟิงเฉินยังคงไม่วางใจ “คุณหมอครับ คุณหมอแน่ใจว่าไม่ได้เป็นไรจริงๆ?”
“แน่ใจครับ คุณวางใจได้ คนไข้น่ะไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ แต่เธอคงจะตกใจกลัวมาก ดังนั้นพยายามอยู่ข้างกายเธอให้มากที่สุดนะครับ”
“ครับ”
แม้คุณหมอจะไม่พูด แต่จิ้นเฟิงเฉินก็จะอยู่ข้างๆ เธออยู่แล้ว
เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ในใจของเขาก็เต็มไปด้วยการตำหนิตนเองและความรู้สึกผิด
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาบอกให้เธอกับเฟิงเหรากลับบ้านก่อน ก็คงจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
เมื่อคิดได้แบบนี้ เขาก็จับมือที่เย็นเล็กน้อยของเจียงสื้อสื้อไว้แน่น และดวงตาของเขาก็จ้องไปที่ใบหน้าที่ขาวซีดของเธอ
“สื้อสื้อ ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของผมเอง”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอได้ยินสิ่งที่เขาพูดหรือเปล่า เจียงสื้อสื้อก็ขยับปลายนิ้วเบาๆ แต่เธอก็ยังไม่ฟื้น
“ผมขอโทษนะ จากนี้ไปผมจะไม่ห่างจากคุณอีก” จิ้นเฟิงเฉินจับมือเธอมาแนบที่ใบหน้า และพูดอย่างอ่อนโยน