ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 1392 คนที่บงการอยู่เบื้องหลังก็อยู่ในเมืองจิ่น
- Home
- ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?!
- บทที่ 1392 คนที่บงการอยู่เบื้องหลังก็อยู่ในเมืองจิ่น
กู้เนี่ยนพวกเขาเงียบสงบลง
แน่นอน ต่อให้ไม่มีคนพวกนี้ คนที่สั่งบงการอยู่เบื้องหลังก็จะให้คนอื่นมาอีก ก็เลยสิ่งที่สำคัญมากที่สุดในตอนนี้คือต้องจับกุมคนเบื้องหลังออกมาให้ได้
ถึงแม้จิ้นเฟิงเฉินจะไม่ค่อยทราบรายละเอียดเกี่ยวกับองค์กร “อิ่ง” แต่อีกฝ่ายกลับฝึกอบรมนักรบผู้กล้าตายออกมา งั้นสถานการณ์ก็คงเคร่งครัดมากกว่าที่พวกเขาคิดไว้ซะอีก
เขาหรี่ตาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ “อิ้งเทียน หาวิธีสืบหัวหน้าของ ‘อิ่ง’ ออกมาให้ได้ แล้วก็รวมทั้งคนที่เคยติดต่อกับเขาด้วย”
“ครับ!” อิ้งเทียนก้มหัวลงด้วยความเคารพ
ทันใดนั้น เห้อซูหานก็เปิดปากพูด “ให้ฉันไปแทนเถอะ คุณชาย”
จิ้นเฟิงเฉินหันหน้าไปมองเขา หว่างคิ้วงดงามราวกับกระบี่ก็ขมวดติดกัน สายตาดูงุนงง “คุณคือ……”
“อ่อ เขาคือ……”
กู้เนี่ยนเตรียมจะตอบ เห้อซูหานแยกพูดไปก่อน “คุณชาย ฉันคือเห้อซูหาน และเป็นคุณที่ฝึกอบรมสั่งสอนขึ้นมา เป็นยามมืดที่ฟังคำสั่งจากคุณเพียงคนเดียว”
“ขอโทษ ฉันจำไม่ได้” จิ้นเฟิงเฉินพูด
เห้อซูหานส่ายหน้า “คุณชาย คุณไม่ต้องกล่าวขอโทษ คุณจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอแค่คุณปลอดภัยดีก็พอ”
ถึงแม้ปากของจิ้นเฟิงเฉินบอกว่าจำไม่ได้ แต่ก็มีความรู้สึกที่คุ้นเคยอีกแบบ เป็นความรู้สึกที่เขาสามารถเชื่อใจได้
“ในเมื่อคุณอยากรับภารกิจนี้ไว้ งั้นก็ต้องรบกวนใช้วิธีที่เร็วที่สุดเพื่อสืบหัวหน้าของพวกเขามาให้ได้ และต้องจับกุมคนบงการที่อยู่เบื้องหลังให้ได้” พูดถึงตรงนี้ จิ้นเฟิงเฉินทำสีหน้าครุ่นคิดขึ้นมา
“คุณชาย เป็นอะไรหรือเปล่า?” กู้เนี่ยนถาม
“คนพวกนี้กราดเกรี้ยวขนาดนี้ ไม่แม้แต่จะรักษาชีวิตตัวเอง วิ่งไล่ตามเฟิงเหราบนถนนใหญ่ แถมมีการช่วยเหลือค่อยสนับสนุนที่รวดเร็วขนาดนี้ ราวกับว่ามันเป็นการวางแผนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
จิ้นเฟิงเฉินกลับไปคิดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกผิดปกติ
อิ้งเทียนคิดไปคิดมาแล้วพูด “คุณชาย คุณพูดถูก มันเป็นการวางแผนไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
จิ้นเฟิงเฉินเหล่ตา บ่งบอกถึงความเหน็บหนาว น้ำเสียงเย็นชาเปิดปากพูด “ถ้าทายไม่ผิด คนบงการที่อยู่เบื้องหลังคงอยู่ในเมืองจิ่น”
พอประโยคนี้พูดออกมา พวกเห้อซูหานหลายคนก็แปลกใจ
“อยู่ในเมืองจิ่น?” กู้เนี่ยนลังเลไปสักพักแล้วทายออกมา “อย่าบอกนะว่าเป็นตระกูลซ่างกวน?”
“เป็นไม่ได้” อิ้งเทียนส่ายหน้า “ตอนนี้ซ่างกวนหยวนถูกคุมขังในสถานกักขัง ไม่มีทางที่จะกลับมาสร้างกระแสอีก และอีกอย่างซ่างกวนเชียนไม่เหมือนซ่างกวนหยวนที่ไม่มีสติปัญญาขนาดนั้น”
“ยิ่งมีความเป็นไปไม่ได้ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้” กู้เนี่ยนยังคงยึดมั่นกับความคิดของตัวเองอยู่ “เรื่องนี้มันต้องเกี่ยวข้องกับซ่างกวนหยวนแน่ๆ ”
“ฉันบอกแล้วไงว่าเป็นไปไม่ได้ ทำไมคุณยัง……” อิ้งเทียนมองไปที่กู้เนี่ยนอย่างหงุดหงิด
“ไม่ว่ามันจะเป็นไปได้หรือไม่ได้ พวกเราห้ามสะเพร่าประมาทเกินไป ต้องคอยระมัดระวังยิ่งกว่าเมื่อก่อน” กู้เนี่ยนพูด
จิ้นเฟิงเฉินพยักหน้า “ใช่ ซ่างกวนหยวนยากที่จะทำร้ายสื้อสื้ออีกครั้งแน่นอน แต่ก็ไม่ตัดความเป็นได้อย่างอื่นออกด้วย”
“ถ้าคุณชายก็คิดแบบนี้เหมือนกัน งั้นฉันก็สามารถเริ่มสืบจากซ่างกวนหยวน” เห้อซูหานพูดขึ้นมา
“สั่งคนไปตามตระกูลซ่างกวนเพิ่มด้วย แล้วก็ซ่างกวนหยวน” จิ้นเฟิงเฉินพูดคำสั่งออกไป
“ครับ”
กู้เนี่ยน อิ้งเทียนและเห้อซูหานออกเสียงตอบพร้อมกัน
พอจัดการเรื่องพวกนี้เสร็จเรียบร้อย จิ้นเฟิงเฉินก็กลับไปที่โรงพยาบาล
พอเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วย ฟางเสว่มั่นก็อยู่ในนั้น
“เฟิงเฉินมาแล้ว” ฟางเสว่มั่นลุกขึ้น และมองเขาที่เดินเข้าใกล้เรื่อยๆ อย่างอ่อนโยน
“คุณแม่” อยู่ต่อหน้าครอบครัว จิ้นเฟิงเฉินจะระงับความเย็นชาของตัวเองไว้ ถึงแม้สีหน้าเฉยชาไม่แสดงอะไรมา แต่ก็เห็นได้ชัดว่าหว่างคิ้วของดูอ่อนโยนขึ้นมาไม่น้อย
ฟางเสว่มั่นยิ้มพยักหน้า
“ทำงานเสร็จแล้วเหรอ?” เจียงสื้อสื้อเปิดปากถาม
“ทำงานเสร็จหมดแล้ว” จิ้นเฟิงเฉินมองไปที่รอบบริเวณแล้วถาม “เสี่ยวเป่ากับเถียนเถียนล่ะ?”
“ยัยตัวเล็กสองคนนั้นจะทนไหวได้ยังไงล่ะ คุณปู่ของพวกเขาพาไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ชั้นล่างแล้ว” คนที่ตอบคือฟางเสว่มั่น
“เดียวผมขอไปดูก่อน” จิ้นเฟิงเฉินเตรียมหันหลังเดินออกไป
“เฟิงเฉิน” ฟางเสว่มั่นเรียกเขาไว้
จิ้นเฟิงเฉินหยุดชะงักเท้า แล้วหันหน้ากลับมา
“คุณอยู่เป็นเพื่อนสื้อสื้อ เดียวฉันลงไปดูเอง” ฟางเสว่มั่นพูดไปด้วยพร้อมเดินออกไปข้างนอก
จิ้นเฟิงเฉินพยักหน้าแล้วเดินไปที่ข้างเตียง สายตาอ่อนโยนมองไปที่สื้อสื้อแล้วถาม “ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง?”
“ก็ดีนะ”
จิ้นเฟิงเฉินนั่งลงตรงขอบเตียง แล้วจับกุมมือเธอไว้ “หลังจากออกโรงพยาบาล คุณอย่าพึ่งไปทำงานที่บริษัท พักฟื้นดูแลตัวเองสักพักไปก่อน”
เขาคิดไปคิดมาแล้วรู้สึกในบ้านปลอดภัยที่สุด
ก่อนที่จะจับคนบงการที่อยู่เบื้องหลังออกมา เธอพยายามอย่าออกไปข้างนอกดีที่สุด
“ได้” เจียงสื้อสื้อไม่ได้คัดค้าน
ครั้งนี้เธอพัวพันไปถึงเฟิงเหราแล้ว ไม่อยากไม่อยากไปลำบากคนอื่นเพิ่มอีกแล้ว
จิ้นเฟิงเฉินเอื้อมมือไปลูบผมเศษๆ ตรงแก้มเธอถักไว้หลังหู แล้วยิ้มเบาๆ “ฉันคิดว่าคุณจะไม่เห็นตกลงซะอีก”
“ฉันเป็คนที่ซื่อบื้อขนาดนั้นเลยหรือไง?” เจียงสื้อสื้อหรี่ตามองเขา
จิ้นเฟิงเฉินแค่ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม
เจียงสื้อสื้อเม้มปาก “เฟิงเฉิน เฟิงเหรายังไม่ตื่นเลย จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นไหม?”
“ไม่หรอก คุณไม่ต้องเป็นห่วง ผิวหนังของเขาเหนียวหนาแน่น ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก”
แต่คำปลอบใจของจิ้นเฟิงเฉินไม่ได้ทำให้เจียงสื้อสื้อรู้สึกสบายใจเลย
ตราบใดที่เฟิงเหรายังนอนหลับ ใจเธอก็ห้อยระแวงอยู่เสมอ
……
คนที่อารมณ์เดียวกับเจียงสื้อสื้อตอนนี้ยังมีอีกคนคือส้งหวั่นชีง
เมื่อคืนนอนพลิกตัวไปมาทั้งคืนบนเตียง ก็ไม่สามารถนอนหลับได้
ตอนที่ท้องฟ้าใกล้สว่าง เธอก็ลุกขึ้นและนั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย มือทั้งสองข้างจับกุมมือของเฟิงเหราไว้แน่น
แค่นั่งเวลาก็ล่วงเลยผ่านไปแล้วหลายชั่วโมง ขนาดท่านั่งก็ยังไม่เคยเปลี่ยนเลย
แม่จิ้นดูไม่ลง “หวั่นหวั่น ฉันรู้ว่าคุณเป็นห่วง แต่ก็ต้องคิดเผื่อเด็กในท้องบ้างสิ”
“คุณแม่ ฉันไม่เป็นไร” ดวงตาของส้งหวั่นชีงเอาแต่จ้องมองไปที่บนใบหน้าของจิ้นเฟิงเหรา
เห็นเธอยืนกราดแบบนี้ แม่จิ้นก็ได้แต่ถอดหายใจ หันหลังเตรียมไปดูเจียงสื้อสื้อ
คนพึ่งจะเดินหันหลัง ก็ได้ยินเสียงกรี๊ดร้องของส้งหวั่นชีง “เฟิงเหรา คุณตื่นแล้วหรอ!”
เธอรีบหันหลังกลับมาโดยไม่รู้ตัว พอเห็นจิ้นเฟิงเหราลืมตาขึ้นมาจริงๆ ทันใดนั้นความปรีดาก็ปรากฏขึ้นที่หางคิ้ว
ส้งหวั่นชีงโถมตัวขึ้นบนตัวเขา กอดเขาไว้และร้องไห้ออกมา “สารเลว ถ้าคุณเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ ฉันจะไม่ปล่อยคุณแน่ๆ ต่อให้ต้องวิ่งตามไปที่พญายมตรงนั้นก็จะไม่มีทางปล่อยคุณ!”
เธอร้องไห้ไปด้วยที่ด่าไปด้วย
จิ้นเฟิงเหรายกมือขึ้นกอดเธอด้วยความเจ็บปวดใจ “ยัยโง่ มีคุณกับลูกอยู่ที่นี่ ฉันจะกล้าไปตายได้ยังไง?”
พอได้ยินประโยคนี้ แม่จิ้นก็เดินเข้าไปยกฝ่ามือตบลงไปบนต้นขาใหญ่ของเขา “ไอ้สารเลว แล้วพ่อแม่ของนายล่ะ?”
จิ้นเฟิงเหราเจ็บจนร้องเสียงครางออกมา “แม่ ลงมือเบาๆ หน่อย ผมยังบาดเจ็บอยู่นะ”
แม่จิ้นยิ้มพร้อมกับเช็ดน้ำตาตรงหางตา “ไอ้สารเลว ทำไมนายต้องทำให้คนเป็นห่วงกังวลอยู่ได้?”
“คุณแม่ แม่ไว้ใจได้เลย คุณแม่ยังต้องกังวลเรื่องผมอีกตั้งสิบกว่าปี” จิ้นเฟิงเหรายิ้มแฉ่ง พูดล้อเล่นครึ่งจริงจังครึ่ง
“นี่นายยังคิดว่าตัวเองเก่งมากใช่ไหม?” แม่จิ้นกลอกตามองใส่เขาทั้งโมโหทั้งตลก
จากนั้น เธอก็ไปลูบหลังส้งหวั่นชีง “หวั่นหวั่น ไม่ต้องร้องไห้แล้ว ไปเรียกคุณหมอมาก่อน ฉันไปบอกให้พวกเฟิงเฉินเขาก่อน”
ได้ยินแบบนี้ ส้งหวั่นชีงก็รีบลุกขึ้นยืนตัวตรง ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตา “ใช่ ฉันต้องไปเรียกคุณหมอมาก่อน”
ระหว่างพูด เธอก็กดกริ่งฉุกเฉิน
แค่แป๊บเดียวทางนั้นก็มีคนรับสาย “ไม่ทราบว่าสภาพการณ์เกิดอะไรขึ้นคะ?”
“สามีของฉันตื่นแล้ว รบกวนคุณหมอมาหาหน่อยนะคะ”