ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 1393 ขอแค่เขาปลอดภัยไร้กังวล
หลังจากที่คุณหมอมาตรวจเสร็จ จิ้นเฟิงเหราแค่ต้องพักผ่อนดีๆ อีกไม่กี่วัน ก็สามารถออกโรงพยาบาลได้แล้ว
“งั้นก็ดีละ” ส้งหวั่นชีงโล่งอกโล่งใจ ใจที่ห้อยระแวงกังวลตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้สามารถกลับไปอยู่ที่เดิมได้แล้ว
เห็นสีหน้าเธอราวกับยกภูเขาออกจากอก จิ้นเฟิงเหราทั้งรู้สึกเจ็บใจและโทษตัวเอง
“ฉันคนนี้เป็นคนที่มีบุญวาสนาและโชคดีมาตลอด จะไปตายก่อนพวกคนร้ายพวกนั้นได้ยังไง” จิ้นเฟิงเหราพูดด้วยน้ำเสียงที่สบายๆ
“ถุยถุยถุย!” ส้งหวั่นชีงถุยติดต่อกันสามครั้ง กลอกตามองเขาด้วยความไม่พอใจ “ถ้าคุณกล้าพูดคำนี้ขึ้นมาอีก ระวังฉันจะต่อยคุณ”
ระหว่างพูด เธอก็กำหมัดขึ้นมา ทำท่าจะต่อยเขา
“คุณกล้าทำลงคอเหรอ?” จู่ๆ จิ้นเฟิงเหราก็สบตาเธออย่างจริงจัง
พอสบตากับนัยน์ตาที่จริงจังของเขา ส้งหวั่นชีงก็รู้สึกเขินอย่างทำตัวไม่ถูก เธอรีบละสายตาหันไปมองทางอื่น “ทำผิดก็ต้องโดนต่อย ไม่มีอะไรกล้าทำไม่กล้าทำ”
“งั้นเหรอ” จิ้นเฟิงเหรายิ้มเสียงเบา แล้วควักมือเรียก “มานี่”
ส้งหวั่นชีงเดินเข้าไปหาอย่างเชื่อฟัง
จิ้นเฟิงเหรายื่นมือออกไปโอบเอวของเธอ โอบกอดเธอเข้าใกล้ยิ่งขึ้น
“ขอโทษ ที่ทำให้คุณกังวลตกใจและกลัว” หว่างคิ้วของจิ้นเฟิงเหราเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
ทันใดนั้นเบ้าตาก็ร้อนรน ส้งหวั่นชีงเม้มปากแน่น และส่ายหัวแรงๆ
เธอไม่อยากได้คำขอโทษของเขา ขอแค่เขาปลอดภัยไร้กังวล สุขภาพแข็งแรงก็พอ
“ต่อไปนี้จะไม่ทำอีกแล้ว” จิ้นเฟิงเหรายกมืออีกข้างขึ้นมา ค่อยๆ ช่วยเธอเช็ดน้ำตา
ส้งหวั่นชีงดูดน้ำมูกแล้วพูดสะอึก “คุณต้องพูดจริงทำจริงนะ ห้ามมาหลอกฉันนะ”
จิ้นเฟิงเหราพยักหน้า “อือ”
เจียงสื้อสื้อและจิ้นเฟิงเฉินเดินเข้ามา เจอช็อตนี้พอดี
“ดูเหมือนพวกเรามาไม่ใช่เวลาสักเท่าไหร่” เจียงสื้อสื้อพูดหัวเราะเยาะเย้ย
ส้งหวั่นชีงได้ยิน ก็รีบเช็ดน้ำตาแล้วหันตัวมา “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่”
“ร้องไห้?” เจียงสื้อสื้อเห็นขอบตาของเธอแดงไปหมด รอยยิ้มมุมปากรีบหุบเก็บทันที
“ต้องโทษเฟิงเหรา” ส้งหวั่นชีงหันหน้าไปจ้องใส่จิ้นเฟิงเหรา “เป็นเพราะเขาทำฉันร้องไห้”
เจียงสื้อสื้อมองไปที่จิ้นเฟิงเหรา สีหน้าเขาดีขึ้นเยอะเลย ไม่ขาวซีดเหมือนเมื่อคืนแล้ว
“รู้สึกยังไงบ้าง? มีตรงไหนไม่สบายอีกไหม?” เจียงสื้อสื้อถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่สบาย?” จิ้นเฟิงเหราทำหน้าตาตกใจ “สภาพฉันแข็งแรงดูมีชีวิตชีวาขนาดนี้ ดูเหมือนคนไม่สบายงั้นเหรอ?”
เจียงสื้อสื้อกระตุกมุมปาก “สภาพอย่างนี้ คุณยังมีอารมณ์มาล้อเล่นอีกหรือไง?”
“ไม่งั้นล่ะ?” จิ้นเฟิงเหราถามกลับมา
“โอเค คุณไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
ดูจากสภาพเขาตอนนี้ ก็เหมือนจะไม่เป็นอะไรจริงๆ
“ขอบคุณ” จู่ๆ จิ้นเฟิงเฉินก็พูดสองคำนี้ออกมา
จิ้นเฟิงเหราชะงัก จากนั้นค่อยตั้งตัวทัน “พี่ คุณจะกล่าวขอบคุณทำไม? มันเป็นเรื่องที่ฉันควรทำอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง?”
“แต่ไม่ว่ายังไง ถ้าตอนนั้นไม่ใช่เพราะคุณ ฉันคงไม่มีชีวิตรอดตั้งแต่แรกแล้ว” เจียงสื้อสื้อหันไปมองจิ้นเฟิงเฉิน จากนั้นค่อยมองไปที่จิ้นเฟิงเหราด้วยความซาบซึ้งใจ
“พี่ พี่สะใภ้ใหญ่ พวกคุณไม่ต้องทำแบบนี้ ฉันไม่ชินเลย” จิ้นเฟิงเหราทำท่าทีทนไม่ไหว
“พักผ่อนดูแลร่างกายดีๆ เรื่องของบริษัทก็ยกให้พี่ชายของคุณมาจัดการ” เจียงสื้อสื้อยิ้มแล้วพูด
ได้ยินแบบนี้ จิ้นเฟิงเหราถอดหายใจ “ไม่คิดว่าวันหยุดอันใฝ่ฝันของฉันจะได้มาเพราะแบบนี้”
เจียงสื้อสื้อยิ้มแล้วส่ายหน้า จากนั้นค่อยเอียงหน้าไปคุยกับส้งหวั่นชีง “หวั่นหวั่น คุณก็ต้องพักผ่อนดีๆ อย่าเหนื่อยเกินไปล่ะ”
ส้งหวั่นชีงพยักหน้า “อือ”
เพราะว่าอาการบาดเจ็บของเจียงสื้อสื้อน้อยกว่า พักในโรงพยาบาลสองวัน คุณหมอก็อนุญาตให้เธอออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว
ทำเอาจิ้นเฟิงเหราอิจฉาจะตายอยู่แล้ว
“ผมก็อยากออกจากโรงพยาบาล” จิ้นเฟิงเหราทำหน้าตาสงสารแล้วหันไปมองคุณหมอที่กำลังตรวจสุขภาพร่างกายของเขาอยู่
คุณหมอหันหน้าขึ้นมากวาดมองเขาอย่างเฉยชา “อยากออกโรงพยาบาล?”
“อือ” จิ้นเฟิงเฉินรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว บนใบหน้าเต็มไปด้วยความหวัง
แต่วินาทีต่อมา จู่ๆ เขาก็ตะโกนร้อง “อ่า” ออกมา
บนใบหน้าอันหล่อเหลายับยู่ยี่กลายเป็นหนึ่งก้อน
“คุณหมด คุณทำอะไร?” เขาจ้องมองไปที่คุณหมออย่างไม่อยากจะเชื่อ
มีคุณหมอที่ไหนจู่ๆ ใช้แรงกดลงบนแผลของคนป่วย
“ยังเจ็บใช่ไหม งั้นก็พักในโรงพยาบาลอีกสักสองสามวันดีๆ ” น้ำเสียงของคุณหมอพูดหลีกเลี่ยงประเด็นสำคัญ ราวกับว่าเมื่อกี้เขาไม่ได้กดลงไปบนแผลของจิ้นเฟิงเหรา
“ฉัน……”
จิ้นเฟิงเหรายังอยากพูดอะไรเพิ่ม พึ่งจะเปิดปากก็โดนคุณหมอตัดหน้าก่อน “ถ้าคุณหายฟื้นฟูดี ฉันอนุญาตให้คุณออกจากโรงพยาบาลล่วงหน้าได้”
“ก็ได้” จิ้นเฟิงเหราก้มหัวลง ถือว่ายอมตกลง
“ไม่เป็นไร ฉันอยู่เป็นเพื่อนคุณ” ส้งหวั่นชีงพูดปลอบใจเสียงเบา
จิ้นเฟิงเหราหันหน้าขึ้นมา มองเข้าไปนัยน์ตาอันอบอุ่นของเธอ ยิ้มอย่างจนปัญญา
เขาไม่อยากทำให้เธอเหนื่อยลำบาก ก็เลยอยากออกจากโรงพยาบาลเร็วๆ
“เฟิงเหรา ฉันรู้ว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่” ส้งหวั่นชีงจับกุมมือของเขาไว้ แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน “ฉันไม่เหนื่อย ไม่เหนื่อยเลยสักนิด”
“อือ” จิ้นเฟิงเหราโอบกอดเธอเข้าไปในอ้อมกอด
ทั้งสองคนโอบกอดกันเงียบๆ คุณหมอก็ค่อยๆ ขยับตัวออกไปพร้อมปิดประตูเบาๆ
……
เจียงสื้อสื้อออกมาจากโรงพยาบาลกลับมาถึงบ้าน ยัยตัวเล็กทั้งสองคนก็อยู่
พวกเขารีบพุ่งเข้ามาตรงหน้าของเธอ เงยใบหน้าอันเล็กขึ้นมา บนใบหน้าของทั้งสองคนเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันคึกคัก
“หม่ามี๊ ยินดีต้อนรับหม่ามี๋กลับบ้าน” เสียงอันนุ่มนวลของเถียนเถียน ราวกับข้าวเหนียวตัดที่เคลือบด้วยน้ำตาล
“ขอบคุณเถียนเถียน” เจียงสื้อสื้อก้มตัวลงมาลูบหัวอันน้อยของเธอ
“หม่ามี๊ เอาให้หม่ามี๊” เสี่ยวเป่ายื่นของในมือไปให้
เป็นภาพวาดหนึ่งภาพ
เจียงสื้อสื้อหันไปมองเขา แล้วรับมา พอตอนที่เห็นเนื้อหาในภาพวาด สายตาช่างอบอุ่นเหลือเกิน
“อันนี้วาดครอบครัวของพวกเราใช่ไหม?”
บนภาพวาดมีผู้ใหญ่สองคน ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง และมีเด็กอีกสองคน ชายหนึ่งหญิงหนึ่งเหมือนกัน
“หม่ามี๊ อันนี้ฉันกับพี่ชายเป็นคนวาดเอง” ดวงตาอันงดงามของเถียนเถียนมีความคาดหวังประกายออกมา
เธอกำลังรอให้เจียงสื้อสื้อชมอยู่
“ใช่เหรอ?” เจียงสื้อสื้อมองไปทางพวกเขาด้วยความเซอร์ไพรส์แล้วพูดชม “พวกเธอวาดได้ดีมากเลย หม่ามี๊ชอบมากเลย!”
เถียนเถียนยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ ดวงตาโตยิ้มโค้งจนคล้ายกับจันทร์เสี้ยว
อันนี้เป็นของขวัญที่พวกเรามอบให้หม่ามี๊เพราะออกมาจากโรงพยาบาล” เสี่ยวเป่าพูด
“ขอบคุณนะ” เจียงสื้อสื้อเอาภาพวาดแนบชิดกับหน้าอก “หม่ามี๊จะเก็บรักษาไว้ดีๆ นะ”
“พวกเขาสองคนเพื่อวาดภาพนี้ อุตส่าห์นั่งอยู่หน้าโต๊ะเรียนตั้งหลายชั่วโมงเลยนะ”
แม่จิ้นถือผลไม้เดินเข้ามา ยิ้มพร้อมกับพูดออกมา
เพื่อทำของขวัญให้เธอ ให้พวกเขานั่งดีๆ อยู่ตรงหน้าโต๊ะเรียนหลายชั่วโมง ถือว่าลำบากพวกเขาจริงๆ
“หม่ามี๊ชอบมาก ขอบคุณพวกหนูมากๆ นะ” เจียงเจียงก้มตัวลงไปดึงพวกเขาเข้ามากอด
ต่อจากนี้รอให้ชีวิตกลับสู่ความสงบ เธอจะต้องอยู่เคียงข้างเด็กสองคนนี้บ่อยไ
“สื้อสื้อ เธอพึ่งออกจากโรงพยาบาล ร่างกายยังไม่ได้พักฟื้นดีๆ รีบขึ้นไปนอนที่ชั้นบนก่อน” แม่จิ้นบอก
เจียงสื้อสื้อปล่อยเด็กทั้งสองคน แล้วลุกขึ้นยืน ยิ้มพร้อมพูด “คุณแม่ ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว”
“ร่างกายมันจะพักฟื้นได้เร็วขนาดนั้นได้ยังไง เชื่อฟังกันหน่อย ขึ้นไปพักผ่อนที่ชั้นบน” แม่จิ้นทำหน้าขรึม
เจียงสื้อสื้อหันไปมองที่จิ้นเฟิงเฉินอย่างจนปัญญา ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลืออย่างเห็นได้ชัด
จิ้นเฟิงเฉินหยักคิ้วเล็กน้อย “ฉันเห็นด้วยกับที่คุณแม่พูด”
ในเมื่อพวกเขาพูดมาขนาดนี้แล้ว เจียงสื้อสื้อก็เลยได้แต่เดินไปทางบันไดอย่างเชื่อฟัง
ทันใดนั้น จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ของจิ้นเฟิงเฉินก็ดังขึ้นมา
เจียงสื้อสื้อหยุดเท้าอย่างอัตโนมัติ แล้วหันหน้ามองไปที่เขา
เห็นเพียงเขารับสายโทรศัพท์ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายในโทรศัพท์พูดอะไร สีหน้าของเขาดูแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด