ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 1403 ขอเพียงแค่สามารถแก้แค้นได้
ประเทศFแสงแดดสว่างสดใสและมีลมโชยพัดมาอ่อนๆ
ภายในคฤหาสน์ที่มีกลิ่นอายประวัติศาสตร์ ซ่างกวนหยวนยืนอยู่หน้าบานหน้าต่าง มองไปยังดอกไม้ใบหญ้าในคฤหาสน์ นัยน์ตามืดมน ไร้ซึ่งประกายสว่างสดใส
ถ้าหากไม่ใช่ว่าแสงอาทิตย์สาดส่องผ่านบานหน้าต่างกระจกเข้ามา ทำให้เธอต้องหรี่ตาลงตามสัญชาตญาณ เธอก็นึกว่าตัวเองตายไปตั้งนานแล้วจริงๆ
ไม่!
เธอตายไปแล้วจริงๆ!
หัวใจตายไปแล้ว!
หัวใจของเธอที่อยู่ภายในประเทศนั้นไม่ได้สร้างระลอกคลื่นอะไรมากนัก ถ้าหากไม่ใช่ว่าพิธีศพของเธอยิ่งใหญ่มากเกินไปแล้วล่ะก็ คงจะไม่มีใครรู้ว่าเธอตายไปแล้วจริงๆ
ซ่างกวนหยวนยกมือลูบแก้มตัวเอง มุมปากยกขึ้นอย่างช้าๆ
จิ้นเฟิงเฉินจะต้องคิดไม่ถึงว่าเธอยังมีชีวิตอยู่แน่นอน
ตอนที่อยู่ในทัณฑสถานนั้น หลังจากที่เธอดื่มน้ำแกงที่เจี่ยงฉือนำมาให้เธอแล้ว บางครั้งก็จะวิงเวียนศีรษะ แต่ว่าเป็นเพียงแค่ระยะสั้นๆ
จนกระทั่งสถานการณ์หนักมากขึ้นเรื่อยๆ มีครั้งหนึ่งที่เวียนหัวหนักมาก ต่อมาเกิดเรื่องอะไรขึ้น เธอก็ไม่รับรู้เลยแม้แต่น้อย
ตอนที่ฟื้นขึ้นมา เธอนึกว่าตัวเองแค่หลับไปนานมากตื่นหนึ่งเท่านั้น
เพราะหลังจากที่ตัวเองถูกจับมา เธอก็ไม่ได้หลับอย่างสงบขนาดนี้เลย
แต่เมื่อลืมตาขึ้นมา สภาพแวดล้อมที่แปลกตาก็ปรากฏสู่ครรลองตา ทำให้เธอตกตะลึงจนต้องรีบลุกขึ้นจากเตียง
“คุณตื่นแล้ว”
เสียงคุ้นเคยดังขึ้นข้างหู เมื่อหันไปมอง ก็เป็นเจี่ยงฉือ
เธอมองเขาด้วยความมึนงง “ฉัน ฉัน ที่นี่คือที่ไหนคะ”
“ที่นี่คือคฤหาสน์ของผมที่ประเทศF” เจี่ยงฉือตอบคำถาม
“ประเทศFหรือ” ซ่างกวนหยวนขมวดคิ้ว “คุณพาฉันออกมาจากทัณฑสถานได้อย่างไรกัน”
“น้ำแกงที่ผมให้คุณ ข้างในมีใส่สมุนไพรชนิดหนึ่งเอาไว้”
ซ่างกวนหยวนขมวดคิ้วเป็นปมมากกว่าเดิม “สมุนไพรหรือคะ”
“อืม เป็นสมุนไพรที่ทำให้คนแกล้งตายได้”
“แกล้งตาย?” ซ่างกวนหยวนก้มหน้า “ดังนั้นตอนนี้ฉันตายแล้วหรือ”
“สำหรับคนอื่นๆก็ใช่” เจี่ยงฉือยกมุมปากยิ้ม “หลังจากนี้คุณจะไม่ใช่ซ่างกวนหยวนอีก หลี่ซี”
“คุณวางใจเถอะ ผมจะช่วยคุณแก้แค้น ค่อยๆเอาค่าตอบแทนของการที่พวกเขาทำร้ายคุณคืนมาทีละนิดๆ”
คำพูดของเจี่ยงฉือดังขึ้นที่ข้างหู ซ่างกวนหยวนเก็บงำความรู้สึก นัยน์ตาหรี่ลงช้าๆ
เป็นความรู้สึกเหมือนกับว่าอยู่อีกโลกหนึ่งจริงๆ
ราวกับว่าตัวเองได้ข้ามผ่านเคราะห์ร้ายครั้งใหญ่มา และกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง
จิ้นเฟิงเฉิน
ผู้ชายที่เธอเคยรักมากคนหนึ่ง เพื่อให้ได้เขามา เธอไม่เสียดายที่จะใช้ทุกแผนการเพื่อรั้งให้เขาอยู่ข้างกาย
แต่ว่าสุดท้ายแล้ว คนก็รั้งเอาไว้ไม่อยู่ ส่วนเธอก็ถูกเขาส่งเข้าทัณฑสถานอย่างไร้เยื่อใย
เขาสามารถไร้ความรู้สึกได้เช่นนี้ ก็อย่าโทษว่าเธอโมโหโดยไม่ไว้หน้าใคร
นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เธอไม่มีความรู้สึกใดๆให้กับจิ้นเฟิงเฉินแม้แต่น้อย มีเพียงแค่ความเกลียดชังเท่านั้น
เธอจะไม่ยอมให้จิ้นเฟิงเฉินและตระกูลจิ้นได้อยู่อย่างมีความสุขเด็ดขาด
เจี่ยงฉือเปิดประตูห้อง เดินเข้ามาถึงข้างกายเธอเงียบๆ จึงได้เห็นสีหน้าดุร้ายของเธอเข้าพอดี
“คิดถึงจิ้นเฟิงเฉินอีกแล้วหรือ”
ซ่างกวนหยวนได้สติกลับคืนมา จึงรีบเก็บงำความรู้สึกทั้งหมดทันที “ทำไมตอนที่คุณเข้ามาถึงไม่มีเสียงเลยแม้แต่น้อยคะ”
“หยวนหยวน ลืมจิ้นเฟิงเฉินไปเสียเถอะ” เจี่ยงฉือกอดเธอเอาไว้
ซ่างกวนหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้ผลักเขาออก
“ผมไม่ชอบสีหน้าดุร้ายของคุณ”
เอ่ยถึงตรงนี้ เจี่ยงฉือก็ปล่อยเธอ หมุนตัวเธอให้หันมาเผชิญหน้ากับตัวเอง
เขาก้มหน้า สายตาจับจ้องอยู่บนใบหน้าเธอ พลางเอ่ยต่อว่า “คุณสวยขนาดนี้ก็ควรจะยิ้ม”
“ฉันยิ้มไม่ออกค่ะ” ซ่างกวนหยวนเอ่ยเสียงเย็น
“ผมรู้ว่าตอนนี้คุณอยากแก้แค้นมาก” เจี่ยงฉือพูดไป พลางหยิบหน้ากากหนังมนุษย์ออกมาอันหนึ่ง “สวมมันเอาไว้ หลังจากนี้คุณก็คือหลี่ซี ซ่างกวนหยวนตายไปแล้ว”
ซ่างกวนหยวนผ่อนคลายลง ลูบวัสดุของหน้ากาก ยิ้มเย็นเล็กน้อย “ฉันต้องสวมหน้ากากนี้ไปชั่วชีวิตใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่” เจี่ยงฉือบีบคางเธอเอาไว้แล้วเชยขึ้น สองคนสี่ตาประสานกัน “ผมทำเพื่อปกป้องคุณ ถ้าหากว่าคุณไม่ชอบ ไม่ต้องสวมก็ได้”
“ไม่ ฉันไม่ได้ไม่ชอบ ฉันเพียงแค่ไม่อยากสวมหน้ากากไปชั่วชีวิตนี้เท่านั้น”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ แววตาของซ่างกวนหยวนก็มืดมนลง “รอฉันแก้แค้นเสร็จแล้ว ฉันจะถอดหน้ากากออก”
เจี่ยงฉือยิ้ม “ได้”
ซ่างกวนหยวนมองเจี่ยงฉือ เธอรู้ว่าเขาชอบตัวเองมาโดยตลอด
เธอแย้มริมฝีปากแดง “คุณสามารถช่วยฉันได้ไหมคะ”
เจี่ยงฉือเลิกคิ้ว ไม่ได้รับปากแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธเช่นกัน
“ฉันต้องการให้จิ้นกรุ๊ปจบสิ้นอย่างถึงที่สุดค่ะ” ใบหน้าของซ่างกวนหยวนเผยแววโหดเหี้ยม
“ผมจะช่วยคุณ” เจี่ยงฉือเอ่ย “แต่คุณก็น่าจะรู้ว่าผมต้องการอะไร?”
ซ่างกวนหยวนยกยิ้มมุมปาก “แน่นอนว่ารู้ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นตัวฉันหรือหัวใจของฉัน ขอเพียงแค่คุณต้องการ ฉันก็จะมอบมันให้คุณ”
ประกายในแววตาเจี่ยงฉือวูบไหว ยกมือโอบเอวเธอไว้ให้แนบชิดกับตัวเอง ก้มลงจุมพิตที่ริมฝีปากเธอ
ซ่างกวนหยวนหลับตาลงอย่างช้าๆ
ขอเพียงแค่สามารถแก้แค้นได้ ไม่ว่าอะไรเธอก็ยินยอมจะทำ
…….
เมืองจิ่น
งานเลี้ยงค็อกเทลทางธุรกิจ จิ้นเฟิงเฉินได้รับเชิญให้เข้าร่วมงาน
นี่เป็นงานแรกที่เขาเข้าร่วมอย่างเปิดเผยหลังจากที่เขากลับมาที่จิ้นกรุ๊ป
“ตื่นเต้นไหมคะ” เจียงสื้อสื้อมองชายหนุ่มข้างกาย เขามีสีหน้าเรียบเฉย มองไม่ออกถึงความรู้สึกของเขาในเวลานี้
จิ้นเฟิงเฉินหันหน้ามามองเธอ มุมปากก็โค้งเป็นรอยยิ้มบางๆราวกับไม่ได้ยิ้ม “คุณคิดว่าอย่างไรล่ะ”
“แน่นอนว่าไม่ตื่นเต้นค่ะ” เจียงสื้อสื้อเชิดคางขึ้น “คุณคือจิ้นเฟิงเฉินเชียวนะ จะตื่นเต้นได้อย่างไรกัน”
น้ำเสียงที่เธอใช้พูดนั้นภูมิใจมากเป็นพิเศษ
จิ้นเฟิงเฉินยิ้ม “ความจริงแล้วผมตื่นเต้นเล็กน้อย”
“หือ?” เจียงสื้อสื้อนึกว่าตัวเองฟังผิดไป
จิ้นเฟิงเฉินจับมือเธอเอาไว้ “แต่ว่ามีคุณอยู่เป็นเพื่อนข้างกาย ผมก็ไม่ตื่นเต้นแล้ว”
เจียงสื้อสื้อรู้สึกหวานล้ำในใจขึ้นมาทันที “ถ้าอย่างนั้นฉันจะอยู่ข้างกายคุณตลอดเลยค่ะ”
จิ้นเฟิงเฉินมองเธอแวบหนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจ
แขกที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงค็อกเทลล้วนเป็นหัวกะทิจนถึงชนชั้นสูงในตระกูลที่มีชื่อเสียงมานาน ทั้งงานล้วนตกแต่งอย่างหรูหราอลังการ เสียงเชลโลที่เดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำเคลื่อนไหวท่ามกลางผู้คน
“ประธานจิ้นขอบคุณที่คุณมาเข้าร่วมงานเลี้ยงค็อกเทลนะครับ” ผู้จัดงานเลี้ยงค็อกเทลคือชายหนุ่มวัยกลางคนที่อายุมากกว่าสี่สิบคนหนึ่ง เขาหัวเราะฮาฮาจับมือกับจิ้นเฟิงเฉิน
“ขอบคุณสำหรับคำเชิญของคุณเช่นกันครับ” จิ้นเฟิงเฉินตอบกลับอย่างเกรงใจประโยคหนึ่ง
ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าเขาพูดน้อยมาแต่ไหนแต่ไร จึงพูดคุยกันง่ายๆไม่กี่ประโยคก็เดินจากไป
“ท้องหิวไหม” จิ้นเฟิงเฉินหันไปถามเจียงสื้อสื้อ
เพราะต้องมาเข้าร่วมงานเลี้ยงค็อกเทล พวกเขาล้วนไม่ได้กินข้าวเย็น
“นิดหน่อยค่ะ” เจียงสื้อสื้อมองไปทางลานอาหารบุฟเฟต์ที่อยู่ไม่ไกลนัก
จิ้นเฟิงเฉินมองตามสายตาของเธอไป รอยยิ้มทั้งรักและเอ็นดูปรากฏขึ้นที่มุมปากเขา “ไปกินสักหน่อยเถอะ”
ในตอนที่พวกเขากำลังจะเดินไป ชายคนหนึ่งก็เดินเข้ามาขวางพวกเขาเอาไว้
“ประธานจิ้น”
ฝ่ายตรงข้ามยังเยาว์วัยอยู่มาก เป็นลูกครึ่งรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา
แต่จิ้นเฟิงเฉินกับเจียงสื้อสื้อไม่รู้จักเขา
“อ่อ ผมลืมแนะนำตัวเอง” ชายคนนั้นมีท่าทางเข้าใจขึ้นมาในทันที “สวัสดีครับ ผมคือคริสมิน ได้ยินเรื่องของประธานจิ้นมานานแล้ว วันนี้ได้พบก็โดดเด่นเหนือผู้คนจริงๆ”
จิ้นเฟิงเฉินมองเขา ใบหน้าหล่อเหลาไร้คลื่นความรู้สึกใดๆ ริมฝีปากบางเอ่ยเบาๆว่า “สวัสดีครับ”
คริสมินไม่เก็บความเฉยชาของเขามาใส่ใจ เอ่ยยิ้มๆว่า “หลังจากนี้เมื่อมีโอกาส พวกเราต้องร่วมมือกันดีๆนะครับ”
จิ้นเฟิงเฉินยังไม่ทันจะมีปฏิกิริยาอะไร เสียงคุ้นหูก็ดังมาจากด้านหลัง
“คริสมิน”
คริสมินมองไปตามที่มาของเสียง ก็แย้มรอยยิ้มบนใบหน้ารับในทันที “ประธานซ่างกวน ไม่เจอกันนานนะครับ”
จิ้นเฟิงเฉินและเจียงสื้อสื้อหันหน้าไป ก็เห็นเพียงแค่คริสมินกับซ่างกวนเชียนกอดกัน
เจียงสื้อสื้อขมวดคิ้ว พวกเขารู้จักกัน?