ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 1409 ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น
เช้าวันรุ่งขึ้น ก็ยังคงเหมือนกับในทุกๆวันที่คนขับรถไปส่งเสี่ยวเป่าที่โรงเรียน
เมื่อคืนกู้เนี่ยนได้รับคำสั่งจากจิ้นเฟิงเฉินให้มารออยู่นอกวิลล่าตระกูลจิ้นตั้งแต่เช้า เมื่อเห็นคนขับรถขับรถออกมา ก็รีบขับรถตามไปทันที
ยี่สิบกว่านาทีหลังจากนั้น รถก็ไปถึงหน้าประตูโรงเรียน
กู้เนี่ยนเห็นเสี่ยวเป่าลงมาจากที่นั่งด้านล่าง
เมื่อเสี่ยวเป่าปรากฏตัว ก็มีเด็กผู้หญิงหลายคนล้อมรอบเขาทันที
“จิ้นเป่ยเฉิน นี่คือกล่องข้าวที่ฉันให้พ่อครัวที่บ้านเตรียมเอาไว้ให้คุณเป็นพิเศษ” มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยื่นกล่องข้าวในมือออกมา
เด็กผู้หญิงคนอื่นๆก็ไม่ยอมแพ้ ยื่นสิ่งของที่พวกเธอเตรียมเอาไว้ด้วยความประณีตออกมาเช่นกัน
มีเค้ก รวมไปถึงคุกกี้ต่างๆ
เมื่อเห็นภาพความครึกครื้นที่อยู่ไม่ไกลภาพนี้แล้ว กู้เนี่ยนก็ทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ เป็นที่ชื่นชอบเหมือนกันเลย”
“ขอบคุณ” เสี่ยวเป่าเพียงแค่เอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย และเดินตรงเข้าไปในโรงเรียน โดยไม่ได้รับสิ่งของจากเด็กผู้หญิงคนไหน
เหล่าเด็กผู้หญิงรีบเดินตามไป
กู้เยี่ยนก็รีบลงจากรถ แต่ว่าคนยังไม่ทันจะได้เข้าไปในโรงเรียนก็ถูกขวางเอาไว้เสียก่อน
“คุณผู้ชายครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครครับ” พนักงานรักษาความปลอดภัยเอ่ยถาม
กู้เนี่ยนเห็นว่าเสี่ยวเป่าเดินไปไกลแล้ว ก็ยิ้มให้กับพนักงานรักษาความปลอดภัย หมุนตัวเดินไปที่มุมหนึ่งแล้วโทรศัพท์หาจิ้นเฟิงเฉิน
ภายใต้ความช่วยเหลือของจิ้นเฟิงเฉิน กู้เนี่ยนก็สามารถเข้าไปในโรงเรียนได้อย่างราบรื่น
แต่ผ่านการสังเกตการณ์ตลอดทั้งวันของเขา เสี่ยวเป่าก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ ล้วนเข้าเรียนเลิกเรียนตามปกติ มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนนักเรียนด้วยกันอย่างสนิทสนมกลมเกลียวดี
ไม่มีสถานการณ์ที่จะทะเลาะวิวาทกับเพื่อนนักเรียนเลย
เมื่อเลิกเรียนในช่วงเวลาพลบค่ำ คนขับรถก็มารับเสี่ยวเป่าไปที่ค่ายมวยคาราเต้
ครูฝึกเห็นเสี่ยวเป่าเดินเข้ามา ใบหน้าที่เข้มงวดก็อ่อนลงทันที จนถึงขั้นมีรอยยิ้มมากกว่า
ไม่ใช่เพราะสถานะของเสี่ยวเป่า แต่เป็นเพราะเสี่ยวเป่ามีพรสวรรค์ เป็นลูกศิษย์ที่เขารักมากที่สุด
“คุณครู” เสี่ยวเป่าทำความเคารพ
ครูฝึกพยักหน้ายิ้มๆ “วอร์มร่างกายก่อนเถอะ อีกครู่หนึ่งก็มาแข่งกับครู”
“ครับ”
กู้เนี่ยนเห็นเสี่ยวเป่าเดินไปวอร์มอัพร่างกายอยู่ที่มุมหนึ่งผ่านกระจกหน้าต่าง
เพื่อนคนอื่นๆเดินไปถึงข้างกายเขา ไม่รู้ว่าพูดอะไร ใบหน้าเสี่ยวเป่าจึงได้เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
สามารถมองออกเลยว่า เสี่ยวเป่ากับเด็กนักเรียนคนอื่นๆในโรงฝึกนั้นมีความสัมพันธ์ไม่เลว
กู้เนี่ยนอดไม่ได้ที่จะมีความสงสัยอยู่เต็มท้อง ในเมื่อเสี่ยวเป่าเข้ากับทุกคนได้ไม่เลว เช่นนั้นรอยแผลบนร่างกายนั้นได้มาได้อย่างไรกัน
รอจนเสี่ยวเป่าวอร์มร่างกายเสร็จแล้ว เขาก็เดินไปที่ด้านหน้าครูฝึก “คุณครู วันนี้คุณครูสอนกระบวนท่าในการหยุดคู่ต่อสู้ให้ผมสักหลายกระบวนท่าได้ไหมครับ”
ครูฝึกได้ยินก็ขมวดคิ้ว “เมื่อวานสอนกระบวนท่าใหม่ๆไปหลายกระบวนท่าแล้วไม่ใช่หรือ”
“ผมทำเป็นแล้วครับ” เสี่ยวเป่าเอ่ย
เห็นท่าทางที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของเขาแล้ว ครูฝึกก็ยิ้มอย่างจนปัญญา “เสี่ยวเป่า กระบวนท่าไม่ใช่ว่าทำเป็นแล้วก็จบ ต้องฝึกเยอะๆ ถึงจะเข้าใจและพลิกแพลงใช้ได้อย่างเต็มที่จริงๆ
“คุณครู ผมอยากเรียนกระบวนท่าใหม่ครับ”
“เสี่ยวเป่า หนูทำแบบนี้ใจร้อนเกินไปแล้ว ต้องค่อยเป็นค่อยไป ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นคนที่ไม่เข้าใจอะไรอย่างถ่องแท้ แต่หลับหูหลับตาสรุปตามความเข้าใจของตน พื้นฐานความชำนาญไม่มั่นคง”
กู้เนี่ยนที่อยู่ด้านนอกได้ยินคำพูดของครูฝึกแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย
ไม่ว่าจะเรียนอะไร ก็ไม่ใช่ว่าเรียนรู้ได้เร็วแล้วจะดี แต่ต้องเรียนอย่างเอาจริงเอาจัง
เขาเชื่อว่าเสี่ยวเป่าที่ฉลาดขนาดนั้นก็เข้าใจเหตุผลนี้แน่นอน แต่ทำไมถึงยืนหยัดที่จะเรียนกระบวนท่าใหม่กัน?
แม้ว่าครูฝึกจะรู้สึกว่าเสี่ยวเป่ารีบร้อนเกินไป แต่ก็ยังคงสอนกระบวนท่าใหม่ให้เขาหลายกระบวน อีกทั้งยังให้เขาแข่งกับเด็กคนอื่นๆด้วย
จำเป็นต้องพูดว่าเสี่ยวเป่ามีพรสวรรค์ ครูฝึกสอนเพียงแค่สองรอบ เขาก็ทำเป็นทั้งหมดแล้ว จนถึงขั้นจับหลักการของกระบวนท่านั้นได้ด้วย
ระหว่างที่แข่งขันกับเด็กคนอื่นๆ ก็ลงมือได้แม่นยำและรุนแรง การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วว่องไว ไม่แพ้ให้กับผู้ใหญ่คนหนึ่งเลยจริงๆ
กู้เนี่ยนดูจนตกตะลึงพรึงเพริด
เขาไม่เคยรู้เลยว่าฝีมือของเสี่ยวเป่าจะดีขนาดนี้
กู้เนี่ยนโอบกอดความตกตะลึงเอาไว้ขณะโทรศัพท์หาจิ้นเฟิงเฉิน และเล่าเรื่องราวให้เขาฟังทั้งหมด
จิ้นเฟิงเฉินที่อยู่อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ได้ฟังแล้วก็ขมวดคิ้วเป็นปมแน่น
เสี่ยวเป่าไม่ควรจะมีแนวโน้มไปทางความรุนแรงถึงจะถูก ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงได้รีบร้อนเรียนกระบวนท่าใหม่ๆกัน?
แม้ว่าจะเป็นจิ้นเฟิงเฉินที่ฉลาดเฉลียวก็เดาความคิดลูกชายตัวเองไม่ออกไปชั่วขณะ จึงเอ่ยเพียงแค่ว่า “กู้เนี่ยน จับตามองต่อไป มีเหตุการณ์อะไรก็รีบรายงานฉันทันที”
“ครับ”
หลังจากวางสายโทรศัพท์ กู้เนี่ยนก็จับตามองทุกความเคลื่อนไหวของเสี่ยวเป่าที่อยู่ในสนามกีฬาต่อไป
แต่นอกจากการฝึกอย่างตั้งอกตั้งใจแล้ว เสี่ยวเป่าก็ไม่ได้มีท่าทางผิดปกติอื่นๆ
……
เจียงสื้อสื้อที่ได้รับรู้สถานการณ์ทั้งวันของเสี่ยวเป่าแล้ว ความกังวลในใจก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
“แรกเริ่มที่ให้เสี่ยวเป่าเรียนคาราเต้ ก็เพียงเพื่อใช้ป้องกันตัวเท่านั้น แต่ตอนนี้เสี่ยวเป่ารีบร้อนจะเรียนกระบวนท่าใหม่ๆ ก็รู้สึกว่าไม่เหมือนกับการเรียนเพื่อป้องกันตัว แต่เพื่อเป้าหมายอื่นๆ”
คิ้วงามได้รูปคู่หนึ่งขมวดเป็นปมแน่น แววตาของเจียงสื้อสื้อเอ่อล้นไปด้วยความเป็นกังวล
จิ้นเฟิงเฉินนิ่งเงียบ สีหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
จิ้นเฟิงเหราเดินเข้ามาในห้องหนังสือ ก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกตินี้ได้อย่างชัดเจน และหันไปมองสีหน้าหนักอึ้งของพี่ชายและพี่สะใภ้ของตัวเอง
ความจริงแล้วในความคิดของเขา บนร่างกายของเด็กผู้ชายมีบาดแผลเล็กน้อยนั้นเป็นเรื่องปกติ ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลมากเกินไป
เจียงสื้อสื้อฝืนยกมุมปากอย่างเลี่ยงไม่ได้ เอ่ยเสียงเบาว่า “อืม”
“พี่สะใภ้ เสี่ยวเป่าเป็นเด็กฉลาด อย่าเห็นว่าเขาอายุน้อย ทำเรื่องอะไรก็มีขอบเขต จะไม่มีเรื่องอะไรหรอก” จิ้นเฟิงเหราเอ่ยปลอบ
“แต่สถานการณ์ในตอนนี้นั้นผิดปกติจริงๆ”
เจียงสื้อสื้อเล่าสถานการณ์ก่อนหน้านี้ของเสี่ยวเป่าให้จิ้นเฟิงเหราฟัง จิ้นเฟิงเหราฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว “ไม่ใช่เพราะว่าเสี่ยวเป่าฉลาดเกินไปหรอกหรือ ไม่ว่าอะไรแค่เรียนก็เป็นแล้ว? เขาขอให้สอนกระบวนท่าใหม่ๆก็ไม่แปลกอะไรนะ”
เขาคิดแบบนี้ก็ไม่ผิด เพียงแต่ว่า……
“ถ้าหากว่ามีเพียงแค่นี้จริงๆ อย่างนั้นรอยแผลบนร่างกายเขามาได้อย่างไรกัน” เจียงสื้อสื้อถาม
ในเมื่อไม่ได้ทะเลาะกับเพื่อนนักเรียน แข่งขันคาราเต้กับเด็กคนอื่นๆก็ไม่ได้รับบาดเจ็บ อย่างนั้นบาดแผลบนร่างกายมาได้อย่างไร
นี่คือจุดที่น่าสงสัยมากที่สุด
“หรือว่าจะหกล้มจนได้รับบาดเจ็บจริงๆ?” จิ้นเฟิงเหรามองไปทางพี่ชายตัวเอง
จิ้นเฟิงเฉินส่ายหน้า “เห็นได้ชัดว่าบาดแผลเหล่านั้นไม่ได้มาจากการหกล้ม แต่ว่าถูกคนต่อย”
“เสี่ยวเป่าจะต้องมีเรื่องปิดบังพวกเราอย่างแน่นอน” เจียงสื้อสื้อเอ่ยอย่างมั่นใจ
เดิมจิ้นเฟิงเหราไม่ได้เอามาใส่ใจนัก ทว่าตอนนี้เมื่อได้วิเคราะห์แล้ว เขาก็ใส่ใจขึ้นมา
“พี่ชาย ให้กู้เนี่ยนจับตามองให้ดี อย่าให้เกิดเหตุประมาทใดๆ จะได้ไม่เกิดเรื่องกับเสี่ยวเป่าแล้ว พวกเราล้วนไม่รู้”
เมื่อเขาพูดแบบนี้ เจียงสื้อสื้อก็กังวลใจมากกว่าเดิม
“ไม่ได้ หลังจากนี้ฉันจะไปส่งเสี่ยวเป่าที่โรงเรียนด้วยตัวเอง” เจียงสื้อสื้อเอ่ย
จิ้นเฟิงเฉินคิดแล้วเอ่ยว่า “คุณจะไปส่งเขาเองก็ย่อมได้ แต่อย่าแสดงออกชัดเจนเกินไป จะได้ไม่ถูกเสี่ยวเป่าพบเข้า”
“ใช่แล้ว พี่สะใภ้ ถ้าหากว่าถึงตอนนั้นเสี่ยวเป่าก็จะเก็บซ่อนเรื่องราวเอาไว้มิดชิดมากกว่าเดิม พวกเราก็ยากที่จะรู้แล้วว่าเขาพบเรื่องอะไรมา”
เจียงสื้อสื้อพยักหน้า “ฉันรู้แล้ว”
คนอื่นภายในบ้านล้วนรู้สถานการณ์ของเสี่ยวเป่า ทุกคนล้วนเป็นห่วงมาก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเสี่ยวเป่าก็ไม่มีใครแสดงออกมา
เสี่ยวเป่าก็ไม่ได้ค้นพบว่ามีเรื่องผิดปกติ
วันรุ่งขึ้นกินอาหารเช้าเสร็จ เขาก็สะพายกระเป๋าหนังสือเดินออกจากวิลล่าไปเหมือนในทุกๆวัน แต่กลับพบว่าคนขับรถยังไม่ได้ขับรถมา
เขาจึงยืนรออยู่ที่หน้าประตู