ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 1412 เสี่ยวเป่าของพวกเราน่าจะป่วย
“คุณชาย พอแล้วครับ” กู้เนียนเกรงว่าจิ้นเฟิงเฉินจะทำคนตายเข้าจริงๆ จึงต้องรีบเปล่งเสียงออกไปเพื่อหยุดการกระทำเหล่านั้น จิ้นเฟิงเฉินหายใจเข้าลึกๆ ยืดตัวขึ้นก่อนจะชายตามองไปยังร่างของซ่านเวยที่นอนคว่ำหน้าไม่ขยับเขยื้อนอยู่บนพื้นด้วยหางตา หันตัวกลับไปบอกว่า “เอาไปส่งสถานีตำรวจ”
“ได้ครับ”
ทันทีที่ออกจากคฤหาสน์ก็เห็นเสี่ยวเป่าที่นั่งอยู่บนรถ เสี่ยวเป่าแล้วก็เห็นเขาเช่นกัน พวกเขาสบตากันสองสามวินาทีเสี่ยวเป่าก็ก้มหน้าลง ค่อยๆ เลื่อนกระจกรถขึ้นจนปิดดีแล้ว จิ้นเฟิงเฉินรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยก่อนค่อยๆ ก้าวขาเดินผ่านไป เปิดประตูก่อนจะก้าวขึ้นรถ ทันทีที่เขานั่งลงภายในรถที่ดูกว้างขวางในตอนแรกก็กลับกลายเป็นสถานที่คับแคบไปในทันที เสี่ยวเป่าบีบมือเข้าหากันแน่น เป็นบรรยากาศที่ทำให้ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ จิ้นฟงเฉินแอบมองเขาด้วยความสงสัย ถึงแม้ว่าความโกรธอย่างรุนแรงที่อยู่ภายในใจยังไม่หายไป แต่เขาก็ยอมเปิดปากถามออกไปอย่างใจเย็น “ทำไมถึงไม่บอกแด๊ด”
“ผมสามารถจัดการได้ด้วยตัวของผมเอง”
“ฮึ” จิ้นเฟิงเฉินแค่นหัวเราะออกมา
“ใครให้ความมั่นใจกับลูกจนทำให้ลูกคิดว่าลูกเพียงคนเดียวสามารถจัดการกับปัญหาได้?”
“ผมเองก็แข็งแกร่งเหมือนกัน” เสี่ยวเป่าเชิดหน้าขึ้นทำท่าทางดื้อดึง “อีกทั้งผมยังเป็นลูกของแด๊ดด้วยผมสามารถจัดการปัญหาด้วยตัวเองได้” เมื่อเห็นขอบตาของเขาแดงนิดหน่อย ใจของจิ้นเฟิงเฉินก็ตกวูบ เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
การที่ลูกของเขาไม่ยอมแพ้นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่เห็นได้ชัดว่าการลงไม้ลงมือแบบนี้ของอีกฝ่ายไม่ได้เกิดขึ้นครั้งสองครั้งแน่ๆ แต่เสี่ยวเป่ากลับไม่เคยพูดถึงเลยสักครั้ง แถมยังไปขอให้ ครูฝึกคาราเต้ช่วยสอนท่าใหม่ๆ ให้เขาเสียด้วยซ้ำไป
ใจหนึ่งเขาก็คงอยากที่จะเชื่อมั่นในความสามารถของตนเองที่จะต่อสู้เอาชนะผู้ชายคนนั้นได้
ถ้าไม่ใช่ว่าถูกสื้อสื้อพบบาดแผลทั่วทั้งร่างกายของเขานั้นบางทีครอบครัวของพวกเขาอาจคงจะโง่งมอยู่อย่างนั้น
ถ้าหากผู้ชายคนนั้นลงมือหนักข้อขึ้นอีกเพียงนิดเดียว เขาอาจจะไม่มีชีวิตอีกแล้ว
จิ้นเฟิงเฉินอดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกใจหาย ในขณะเดียวกันก็รู้สึกโกรธ
“ลูกรู้สึกว่าการกระทำของลูกครั้งนี้ถูกต้องเหรอ” จิ้นเฟิงเฉินกดเสียงถามออกไป
เสี่ยวเป่าเม้มปากแน่น ไม่ได้ตอบออกมา
“ลูกรู้ไหมว่าหม่ามี๊ของลูกเป็นห่วงลูกมากขนาดไหน” จิ้นเฟิงเฉินหายใจเข้าลึกๆ พยายามข่มอารมณ์ขุ่นมัวไว้ภายในใจแล้วพูดต่อว่า หม่ามี๊เขาสองสามวันมานี้ทั้งนอนไม่หลับ ทั้งกินข้าวไม่ได้ ลูกยังคิดว่าตัวเองทำถูกต้องอยู่อีกเหรอ?”
หยดน้ำตาก็หล่นตกกระทบบนหลังมือ เสี่ยวเป่าตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “ขอโทษครับ”
“คนที่ลูกควรจะไปขอโทษคือหม่ามี๊ไม่ใช่แด๊ดดี้”
เสี่ยวเป่าใช้หลังมือมาเช็ดน้ำตา “ผมจะไปขอโทษหม่ามี๊ แต่ว่าผมก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรผิดไป ผมก็แค่อยากที่จะชนะ”
“อีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่ ลูกคิดว่าตัวเองจะเอาชนะได้เหรอ?” แน่นอนว่าเขาฉลาดขนาดนั้น ทำไมถึงยังมีความคิดที่ไร้เดียงสาเช่นนี้?
“ตอนนี้ผมยังชนะเขาไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตผมจะเอาชนะไม่ได้ เพียงแค่ผมจะต้องเรียนท่าต่อสู้เพิ่มอีกสักสองสามท่าผมก็จะสามารถชนะเขาได้อย่างแน่นอน!” สายตาของเสี่ยวเป่าเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหด
ไม่สมวัยของเขาเลย
ในตอนนี้จิ้นเฟิงเฉินเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่เขาไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ เสี่ยวเป่าอายุยังน้อย ต้องมาพบเจอกับเรื่องแบบนี้ภายในใจเขาคงจะต้องได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปถ้าหากเขาแพ้ไปตลอด จิตใจของเขาอาจจะค่อยๆ บิดเบี้ยวไป
นายอนาคตอาจมีผลกระทบหนักกว่าที่คิดเอาไว้
จิ้นเฟิงเฉินครุ่นคิดอยู่คู่หนึ่ง แล้วเอ่ยปากพูดไปอย่างผ่อนคลาย “เสี่ยวเป่าลูกในตอนนี้ยังคงเป็นเด็กอยู่ ความแข็งแรงจะตีเสมอคู่ต่อสู้ที่เป็นผู้ใหญ่ได้ยังไง อย่างน้อยก็อีกไม่กี่ปีข้างหน้า”
ในใจของเสี่ยวเป่าเต็มไปด้วยความดุดัน สองมือกำเข้าหากันแน่น
แม้ว่าจะไม่อยากยอมรับแต่ที่แด๊ดดี้พูดก็ไม่ผิด จริงๆ แล้วเขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซ่านเวย ไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่ล้มเหลวทุกครั้ง เมื่อ มองดูเขาก้มหน้าลงอย่างสูญเสียความมั่นใจและกำลังใจ กลิ่นอายความตึงเครียดเมื่อครู่ก็จางหายไปหมดแล้ว
ในใจของ จิ้นเฟิงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะโอนอ่อนลง ก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัวของเขา แล้วพูดว่า “แด๊ดจะโทรหา ลุงมู่ป๋าย ว่าเสี่ยวเป่าของพวกเราอาจจะป่วย แล้วจะต้องเข้ารับการรักษาเข้าใจมั้ย? ”
เสี่ยวเป่าพยักหน้า แล้วมองมาที่เขาอย่างมึนงง จิ้นเฟิงเฉินรู้ว่า เขาไม่รู้ว่าตัวเขาเองป่วยตรงไหน แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรออกไป แล้วพูดต่อว่า “ถ้าไม่อยาก ให้หม่ามี๊เป็นกังวลก็ต้องเชื่อในการการจัดการของแด๊ดดี้” เมื่อกล่าวถึงเจียงสื้อสื้อ เสี่ยวเป่าก็เริ่มตาแดงขึ้นมาอีกครั้ง เขาพยักหน้า “โอเค แต่ว่าเรื่องนี้อย่าเอาไปบอกหม่ามี๊นะ”
จิ้นเฟิงเฉินให้คำมั่นสัญญา “ไม่มีปัญหา”
……
เมื่อกลับถึงบ้านตอนที่เสี่ยวเป่าเห็นเจียงสื้อสื้อนั้นเขาก็ส่งเสียงเรียกอย่างน่าเอ็นดู “หม่ามี๊”
“คนเก่ง” เจียงสื้อสื้อเห็นว่าเขาดูไม่มีอะไรผิดปกติอะไร ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ มองไปยังจิ้นเฟิงเฉิน แล้วถามว่า
“ทำไมคุณไม่บอกฉันล่ะว่าคุณจะไปรับเสี่ยวเป่า? ฉันจะได้ไปกับคุณด้วย.”
จิ้นเฟิงเฉินเหลือบมองไปยังเสี่ยวเป่า ส่วนเสี่ยวเป่าเองก็กำมือแน่นด้วยความกังวล เขาเลยพูดตอบกลับไปว่า “เรื่องมันจวนตัวน่ะ เลยไม่ทันได้บอกคุณ”
“ไม่มีเรื่องอะไรใช่ไหม?” เจียงสื้อสื้อถาม
“ไม่มีอะไร”
“หม่ามี๊ ผมขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้านบนนะ ”
ทันทีที่พูดจบ ไม่รอให้เจียงสื้อสื้อได้ตอบอะไรกลับมาเสี่ยวเป่าก็รีบแบกกระเป๋าหนังสือ “ตูมตูม” วิ่งขึ้นไปชั้นบน
มองดูเงาของเขาที่ค่อยๆ เลือนหายไปจากขั้นบันไดเจียงสื้อสื้อก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วแล้วถามออกมาอย่างไม่วางใจ “ไม่มีอะไรจริงๆ ใช่ไหม” จิ้นเฟิงเฉินโอบไหล่ของเธอเอาไว้ แล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย “อื้อ ไม่มีอะไร”
ตอนกลางคืนเมื่อรอให้เสี่ยวเป่านอนหลับแล้วเจียงสื้อสื้อก็แอบเข้าไปในห้องของเขาเงียบๆ ตอนแรกคิดว่าจะมาดู รอยแผลบนร่างกายของลูกว่าทายาไปแล้วดีขึ้นบ้างรึเปล่า ใครจะรู้ว่าเมื่อเปิดเสื้อผ้าออกจะมีบาดแผลใหม่ที่มากขึ้นกว่าเดิม เป็นแบบนี้ได้ไปยังไงกัน?
เจียงสื้อสื้อมองดูใบหน้าเล็กที่กำลังหลับสนิทของเสี่ยวเป่าแล้ว ภายในใจก็อยากที่จะสงบจิตใจลงได้ หลังจากทายาเสร็จแล้ว เธอก็กลับมาที่ห้อง
จิ้นเฟิงเฉินกำลังนั่งพิงหัวเตียงโดยมีโน้ตบุ๊ก ตั้งอยู่บนขาของเขา เมื่อได้ยินเสียงคนเข้ามาเขาก็เงยหน้าขึ้นมามอง “ไปทายาอีกแล้วเหรอ?”
เจียงสื้อสื้อเหลือบมองเขาแล้วค่อยๆ เดินมานั่งตรงขอบเตียง
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” เห็นเธอไม่พูดไม่จา จิ้นเฟิงเฉินก็ปิดโน้ตบุ๊กลง แล้วถามออกไปอย่างเป็นห่วง
เจียงสื้อสื้อหันหน้ามา นัยน์ตา,นัยนานั้นเต็มไปด้วยความกังวล “บนตัวของเสี่ยวเป่ามีรอยแผลใหม่เต็มเลย น่าจะเป็นแผลที่ได้รับในวันนี้ด้วย ไม่ใช่ว่าคุณบอกว่าไม่มีอะไรเหรอ” เจียงสื้อสื้อขมวดคิ้วอย่างสงสัย “คุณโกหกฉันเหรอ?”
จิ้นเฟิงเฉินหลุบตาลง “ฉันไม่ได้โกหกคุณ”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมบนร่างกายของเสี่ยวเป่าถึงมีแผลเพิ่มขึ้น” เจียงสื้อสื้อเริ่มขึ้นเสียง เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“เขายังเด็กขนาดนั้น ก็ต้องได้รับบาดแผลมากมายขนาดนี้แล้ว คนที่เป็นหม่ามี๊อย่างฉัน เจ็บปวดจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”
แล้วน้ำตาก็ร่วงหล่นออกมา
“ไม่ต้องร้อง” จิ้นเฟิงเฉินค่อยๆ เอานิ้วเกลี่ยน้ำตาบนแก้มของเธอออกอย่างอ่อนโยน แล้วก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วพูดว่า “คุณครูสอนไวโอลินคนนั้นเป็นคนไม่ดี”
เจียงสื้อสื้อก็ยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้น “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคุณครูคนนั้นได้ยังไง?”
“ทุกๆ ครั้งที่เสี่ยวเป่า ทำผิดตรงไหนสักที่ เขาก็จะทำร้ายร่างกายเสี่ยวเป่า นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมบนตัวของเสี่ยวเป่าถึงมีรอยแผลเยอะขนาดนั้น” สิ่งที่จิ้นเฟิงเฉินบอกไปนั้นคือส่วนน้อย โดยเฉพาะเรื่องระหว่างเสี่ยวเป่ากับคุณครูคนนั้นเขาจะไม่บอกหล่อนเป็นอันขาด
“เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง”
เจียงสื้อสื้อรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ เธอเคยเจอกับครูคนนั้น เท่าที่จำได้ภาพพจน์ของเขาก็ดูเป็นคนที่มีความรู้และสง่างาม
แล้วทำไมถึงลงมือทำร้ายร่างกายของเสี่ยวเป่า?
“เขาลงไม้ลงมือสองสามครั้ง ทั้งยังขู่เสี่ยวเป่าไม่ให้บอกพวกเราอีกด้วย”
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง” เจียงสื้อสื้อเข้าใจแล้วว่าทำไมทุกครั้งที่เธอถามเสี่ยวเป่า เสี่ยวเป่ามักจะไม่ยอมพูด แท้จริงแล้วก็ถูกข่มขู่เอาไว้นี่เอง
“มันจะเกินไปแล้ว!” เจียงสื้อสื้อโมโหไม่หาย “เสี่ยวเป่าเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเขาทำแบบนี้ได้ยังไง?”
พอคิดถึงรอยแผลพวกนั้นบนตัวเสี่ยวเป่าแล้วเจียงสื้อสื้อก็ทั้งโกรธทั้งเจ็บปวดใจ เธอคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเสี่ยวเป่าอดทนให้ผ่านการเรียนคลาสไวโอลิน 2 ชั่วโมงได้ยังไง
“แล้วครูคนนั้นล่ะ?” เจียงสื้อสื้อถาม เธอไม่สามารถปล่อยให้ครูคนนั้นไปได้ จะต้องเอาคืนให้เท่ากับที่เสี่ยวเป่าต้องเจอ