ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 254 ตัดสินใจ
บทที่ 254 ตัดสินใจ
พ่อซูตกใจมาก เขาปัดมืออย่างไม่เชื่อ “เป็นไปไม่ได้ ซูซื่อกรุ๊ปกับจิ้นกรุ๊ปมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาโดยตลอด จิ้นกรุ๊ปไม่มีทางทำอะไรตามอำเภอแบบนี้แน่”
ผู้ช่วยมองพ่อซูอย่างลำบากใจ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่สุดท้ายก็ตอบอย่างแน่วแน่ “ประธานซู ความจริงของเรื่องนี้ออกมาแน่ชัดแล้วครับว่าเป็นจิ้นกรุ๊ปจริงๆ”
สีหน้าพ่อซูเปลี่ยนไป หรือว่าจิ้นกรุ๊ปจะสัมผัสได้ว่าข้างในของซูซื่อกรุ๊ปว่างเปล่า ศักยภาพเทียบไม่ได้กับเมื่อก่อนแล้ว
ดังนั้นถึงลงมือคิดจะฮุบซูซื่อกรุ๊ป?
เหี้ยเฮ้ย!
จิ้นกรุ๊ปคิดจะทำอะไรกันแน่?
พ่อซูรู้ดีว่าคนที่คุมอำนาจและบริหารจิ้นกรุ๊ปทั้งหมดคือจิ้นเฟิงเฉิน ในใจเขาตอนนี้โมโหอย่างมาก
ความทะเยอทะยานของจิ้นเฟิงเฉินมากเกินไป
เขารีบโทรหาจิ้นเฟิงเฉิน ในฐานะผู้ใหญ่เขาจะต้องขอคำอธิบายจากจิ้นเฟิงเฉิน
ตอนนั้นจิ้นเฟิงเฉินกำลังอยู่เป็นเพื่อนเจียงสื้อสื้ออยู่
เจียงสื้อสื้อเพิ่งจะตื่น เมื่อคืนเธอหลับไม่สนิท มักจะตื่นมาร้องครวญด้วยความเจ็บปวดจากอาการปวดหัว
เมื่อเห็นเธอไม่ง่ายที่จะได้นอนขึ้นมาด้วยอาการที่สงบดี จิ้นเฟิงเฉินก็สบายใจขึ้นไม่น้อย
แต่สายนี้ทำเอาเจียงสื้อสื้อตกใจตื่น
เขาจึงกดวางสายโดยที่ไม่ดูว่าใครโทรมาหา
เจียงสื้อสื้อที่นอนจนเหนื่อยแล้ว เธอลืมตาแดงๆมองจิ้นเฟิงเฉินอย่างเหนื่อยล้า
“ที่บริษัทมีเรื่องอะไรเร่งด่วนรึเปล่า? ทำไมนายถึงไม่รับสายล่ะ?” เธอไม่อยากให้จิ้นเฟิงเฉินจะเสียการเสียงานเพราะเธอ
จิ้นเฟิงเฉินไม่ได้สนใจ เขากลับถามเธออย่างเป็นห่วง “เธอรู้สึกเป็นยังไงบ้าง?”
เจียงสื้อสื้อรู้สึกสายตาไม่ชัดเจน มองอะไรก็เบลอไปหมด
ปากเธอซีดเซียวและแห้งผาก
เธอทนต่อความทรมานแล้วขอน้ำจากจิ้นเฟิงเหรา
จิ้นเฟิงเฉินรีบเทน้ำแล้วส่งให้เธอ
เจียงสื้อสื้อยื่นมือไปรับ แต่มือเธอกลับหมดแรงทำให้น้ำร้อนนั้นหกใส่ผ้าห่ม
“สื้อสื้อ โดนลวกตรงไหนรึเปล่า?” จิ้นเฟิงเฉินมีสีหน้าตื่นตระหนก
เธอยิ้มอย่างอ่อนแรง “ฉันไม่เป็นไร”
จิ้นเฟิงเฉินจึงตามพยาบาลมาเปลี่ยนผ้าปูที่นอนสะอาดๆผืนใหม่ให้
เขาเทน้ำให้ใหม่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาป้อนเธอด้วยตัวเอง
การกระทำของเขาอ่อนโยนมาก สายตาที่มองเธอก็เช่นกัน
เจียงสื้อสื้อรู้สึกอบอุ่นราวกับไม่มีความเจ็บอีกแล้ว
เธอนอนมานานจึงอยากจะลุกขึ้นขยับแข้งขยับขาบ้าง
แต่พอเธอลองลุกขึ้นนั่ง เธอก็หน้ามืดแล้วล้มกลับไปบนเตียง
“สื้อสื้อเธอเสียเลือดมากจำเป็นต้องพักผ่อนเยอะๆ อย่าเคลื่อนไหวมาก” จิ้นเฟิงเฉินกล่าวตำหนิพฤติกรรมของเธอหน้าเคร่ง
เจียงสื้อสื้อทำอะไรไม่ได้บวกกับที่เธอไม่อยากจะทำให้เขาลำบากใจ จึงยอมนอนลงอย่างเชื่อฟัง
เสี่ยงเป่าที่กลับมาจากห้องผู้ป่วยของจิ้นเฟิวิ่งมาที่หน้าเตียงด้วยรอยยิ้ม
งเหราเห็นว่าเจียงสื้อสื้อตื่นแล้วจึงวิ่งมาที่หน้าเตียงด้วยรอยยิ้ม
เด็กอย่างเขารู้ความมาก เขาสามารถดูแลเธอได้เหมาะกับวัยเขา
เขารินน้ำให้เจียงสื้อสื้อ แล้วปอกส้มให้เจียงสื้อสื้อกิน
แต่เจียงสื้อสื้อที่เพิ่งตื่นกินส้มไม่ลง เสี่ยวเป่าก็ไม่ได้เศร้าเสียใจ
หลังจากนั้นไม่นานเสี่ยวเป่าก็สังเกตศีรษะแล้วถามเธออย่างจริงจัง “หม่ามี๊ยังเจ็บอยู่มั้ยครับ?”
แล้วเขาก็รีบพูดขึ้นโดยไม่รอให้เจียงสื้อสื้อตอบ “ต้องเจ็บแน่ๆ แต่เสี่ยวเป่าจะช่วยเป่าให้หม่ามี๊เอง หม่ามี๊จะได้ไม่เจ็บ”
พูดพลางเขาก็เป่าแผลเจียงสื้อสื้อเบาๆ
จิ้นเฟิงเฉินดูเหมือนจะพยายามดูแลผู้ป่วยร่วมกับเสี่ยวเป่า ทั้งสองคนก็พยายามอย่างหนัก
เจียงสื้อสื้อกลั้นขำไว้ไม่อยู่ พ่อลูกคู่นี้น่าขำมาก
“หม่ามี๊หัวเราะแล้ว!” เสี่ยวเป่าเหมือนค้นพบบุกเบิกแผ่นดินผืนใหม่ เขานึกว่าเป็นผลจากการเป่าแผลของเขา จึงพูดด้วยความภาคภูมิใจ “ดูเหมือนว่าเสี่ยวเป่าจะเก่งที่สุดแล้ว”
“ใช่ๆๆ มีเสี่ยวเป่าคอยดูแล แผลหม่ามี๊ก็หายไปกว่าครึ่งแล้วครับ” เธอมองเสี่ยวเป่าอย่างเอ็นดู
เมื่อเห็นอาการเธอดีขึ้นมาก จิ้นเฟิงเฉินก็คลายความเป็นห่วงไปได้มาก
เขานั่งอยู่หน้าเธอแล้วให้สัญญาอย่างหนักแน่นว่า “สื้อสื้อ เธอเชื่อฉันนะว่าจากนี้ฉันจะไม่ปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับเธออีกแล้ว”
เจียงสื้อสื้ออึ้งไปเพราะคำพูดของจิ้นเฟิงเฉินไม่เหมือนคำสัญญาพล่อยๆเลยสักนิด ดูเหมือนว่าครั้งนี้เขาจะตกใจมากจริงๆ
เธอรู้สึกผิดที่ทำให้เขาต้องเป็นห่วงและรู้สึกไม่ดี “เฟิงเฉินฉันไม่เป็นไรเสียหน่อย ก็แค่แผลเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง”
จิ้นเฟิงเฉินกำลังจะพูดอะไรซักอย่างแต่เสี่ยวเป่ามองไปที่ประตูแล้วพูดขึ้นมาว่า “คุณอามาแล้ว”
จิ้นเฟิงเหราถือน้ำซุปบำรุงเลือดของพ่อครัวมาวางไว้ข้างๆ
จิ้นเหยิงเฉินลุกขึ้นไปเทน้ำซุปใส่ถ้วยให้เจียงสื้อสื้อ
เขาหยิบช้อนจะป้อนให้เธอ แต่เธอมองจิ้นเฟิงเหราอย่างเขินอายแล้วปฏิเสธ “เฟิงเหราดูอยู่นะ ไม่เอา”
เธอฟื้นตัวได้มากแล้วจึงเชื่อว่าตัวเองมีแรงสามารถยกช้อนตักกินเองได้แล้ว
“ไม่ได้” ถ้าทำหกเหมือนครั้งที่แล้วอีกรอบนึงอาจจะเป็นอันตรายได้
น้ำซุปนี้ร้อนมากไม่เหมือนน้ำร้อนก่อนหน้านี้ มันไม่ควรเอามาเทียบกันได้
เมื่อเห็นท่าทีตัดสินใจแล้วของจิ้นเฟิงเฉิน เจียงสื้อสื้อก็ไม่อาจขืน
อย่างไรก็ตามจิ้นเฟิงเหราที่เห็นทั้งสองคนแสดงความรักต่อหน้าเขาก็อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อ “พวกพี่กำลังรังแกหมาตัวเดียวอย่างฉัน ตาของหมากำลังจะบอดอยู่แล้ว!”
เมื่อได้ยินเขาเปรียบเทียบตัวเองกับหมา เจียงสื้อสื้อก็แทบจะพ่นซุปที่เพิ่งกินไปออกมา
ตอนนั้นเองเสียงเรียกสายดังขึ้น
จิ้นเฟิงเฉินมองดูปราดนึงแล้วไม่สนใจ
แต่เมื่อจิ้นเฟิงเหราดูหน้าจอแล้วเห็นชื่อที่โทรมาและปฏิกิริยาเฉยชาของจิ้นเฟิงเฉิน ก็อยากจะพูดอะไรออกมา
แต่เมื่อคิดดูแล้วเขาเลือกที่จะเงียบต่อ
โทรศัพท์ดังอยู่นานก่อนจะดับไปแล้วดังขึ้นเรื่อยๆไม่หยุด
เจียงสื้อสื้อเห็นสีหน้าเคร่งของจิ้นเฟิงเฉินก็ไม่พูดอะไร
เมื่อโทรศัพท์ดังอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่พ่อซูโทรมาแต่เป็นพ่อจิ้นโทรมา
จิ้นเฟิงเฉินเหลือบมองดูแล้วขมวดคิ้ว
“เฟิงเฉินรับเถอะ เผื่อเป็นเรื่องด่วนอะไรนะ” เจียงสื้อสื้อรับถ้วยจากเขาเพื่อให้เขาไปรับสาย
จิ้นเฟิงเฉินจึงลุกไปที่ระเบียงถึงจะรับสาย เสียงของพ่อจิ้นดังขึ้นมา “เฟิงเฉิน ลูกรู้ตัวมั้ยว่ากำลังทำอะไรอยู่? พูดมาว่าทำไมถึงต้องลงมือกับซูซื่อกรุ๊ปด้วย?”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น คิ้วของจิ้นเฟิงเฉินก็ขมวดแน่น เขาเดาออกตั้งแต่แรกแล้วว่าพ่อจิ้นจะโทรมาด้วยเรื่องนี้
“เรื่องนี้ผมตัดสินใจแล้ว พ่อครับผมรู้ขอบเขตดี พ่อไม่ต้องยื่นมือเข้ามาแทรกแซงแล้วครับ” เขาพูดเรียบๆ
พ่อจิ้นกลับไม่เห็นด้วย “ซูซื่อกรุ๊ปมีความสัมพันธ์อันดีกับเรามาโดยตลอด พ่อจะไม่เข้าไปแทรกแซงไม่ได้” ยิ่งไปกว่านั้นฝั่งนั้นก็ติดต่อเข้ามา
“พ่อครับ ทางฝั่งซูซื่อกรุ๊ป ผมจะติดต่อลุงซูไปด้วยตัวเอง พ่อไม่ต้องห่วง” พ่อจิ้นไม่ได้ดูแลจิ้นกรุ๊ปแล้ว จิ้นเฟิงเฉินไม่อยากให้พ่อจิ้นถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องอีก
พ่อจิ้นเงียบอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ให้อำนาจตัดสินใจกับเขา “ได้ๆๆ พ่อจะไม่ยุ่ง แต่จำไว้นะ ทุกเรื่องมันต้องมีขอบเขต อย่าให้ต้องกระทบกับจิ้นกรุ๊ปของเรา”