ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 285 ปล่อยเธอไปเถอะ
บทที่ 285 ปล่อยเธอไปเถอะ
ลู่เจิงพอได้รู้ว่าเจียงสื้อสื้อได้รับบาดเจ็บ ก็รีบรุดมาที่โรงพยาบาลทันที ก่อนจะเจอเข้ากับจิ้นเฟิงเหราอย่างบังเอิญ
“รอเดี๋ยว” จิ้นเฟิงเหราขวางเขาเอาไว้
“ลู่เจิง…ใช่ไหม?” จิ้นเฟิงเหรามองเขาด้วยสีหน้าที่เหมือนไม่ยิ้ม
“นี่มันหมายความว่ายังไงหรือครับคุณชายรองจิ้น?” ลู่เจิงสบตากับเขา ด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ใดๆ
จิ้นเฟิงเหราเลิกคิ้ว ก่อนจะถามกลับไปอย่างกวนๆ : “แล้วคุณคิดว่าไงล่ะ?”
มันไม่ง่ายเลยนะ ที่พี่ชายกับพี่สะใภ้จะได้อยู่ร่วมกันอีก แล้วแบบนี้เขาจะปล่อยให้คนนอก เข้ามาทำลายสถานการณ์ตอนนี้ของพวกเขาได้ยังไงกันล่ะ?
ไม่อย่างนั้นมันก็หมดอารมณ์น่ะสิ!
ลู่เจิงเองก็เป็นคนที่ฉลาดคนหนึ่ง ทำไมจะมองไม่ออกว่าเขาหมายความว่ายังไง?
“ผมเป็นรุ่นพี่ของสื้อสื้อน่ะครับ” แค่คำพูดง่ายๆ แต่กลับแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของเขากับเจียงสื้อสื้อ
รุ่นพี่งั้นหรือ?
จิ้นเฟิงเหราเบ้ปากมองอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่ เรื่องที่พี่สะใภ้ถือว่าเขาเป็นรุ่นพี่ก็ไม่ผิดหรอก แต่เขาเองคงไม่ได้อยากจะเป็นรุ่นพี่ของพี่สะใภ้ง่ายๆ แบบนั้นแน่
เพียงแต่ว่าหากมีคนที่สามารถข่มขู่พี่ชายเขาได้ล่ะก็ คนที่เป็นน้องชายอย่างเขา ก็มีหน้าที่ที่จะช่วยกำจัดปัญหานั้นออกไป
“พี่ชายของฉันอยู่ด้วยกันกับพี่สะใภ้ก็พอแล้ว รบกวนคุณลู่กลับไปเถอะครับ”
เขาตั้งใจเน้นคำว่า “พี่สะใภ้” ซึ่งแสดงความตั้งใจอย่างชัดเจน ก็คือให้ลู่เจิงรู้และเข้าใจว่า ยังไงตัวเองก็ไม่มีหวัง
ลู่เจิงหัวเราะอย่างอดไม่ได้ “ผมเป็นรุ่นพี่ของสื้อสื้อนะครับ ในเมื่อเธอบาดเจ็บ ก็เป็นเรื่องปกติไหมครับที่ผมต้องมาหาเธอ? ทำไมคุณชายรองจิ้นถึงตั้งท่าเป็นศัตรูกับผมแบบนั้นล่ะครับ?”
“ที่คุณพูดมาก็ถูกนะ เพราะผมถือว่าคุณเป็นศัตรูจริงๆ” จิ้นเฟิงเหราเผยอยิ้มมุมปาก พร้อมกับหัวเราะให้เขา
ลู่เจิงเองก็พยักหน้ารับ “ได้สิครับ”
จิ้นเฟิงเหราคิดว่ายังไงเขาก็ต้องออกไปแน่ๆ จึงทำท่าทางผายมือเชื้อเชิญ “กลับดีๆ นะครับ!”
ลู่เจิงชายตามองเขา หลังจากนั้นก็เดินอ้อมเขา แล้วสาวเท้ายาวไปทางห้องของเจียงสื้อสื้อทันที
จิ้นเฟิงเหราเห็นแบบนั้นก็นิ่งอึ้งอยู่เพียงเสี้ยววินาที หลังจากได้สติกลับมาแล้วเขาก็รีบตามไปทันที ซึ่งพอมาถึงลู่เจิงก็ถึงหน้าประตูห้องผู้ป่วยแล้ว
ไม่ทันแล้วแน่!
ลู่เจิงเคาะประตูขึ้น เพียงไม่นานประตูก็ถูกเปิดออก
ซึ่งก็คือจิ้นเฟิงเฉินนั่นเอง
ทั้งสองคนต่างก็สบตามองกัน
“ผมมาเยี่ยมสื้อสื้อน่ะครับ” ลู่เจิงพูด
แต่จิ้นเฟิงเฉินไม่ได้มีท่าทีรู้สึกลำบากเหมือนอย่างจิ้นเฟิงเหรา เขาเพียงเอียงตัวให้เขาเข้าไปในห้อง โดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
“พี่ครับ ทำไมพี่ให้เขาเข้าไปล่ะ?” จิ้นเฟิงเหราที่วิ่งตามมาก็รีบถามขึ้น
“เขาเป็นแขกนะ” แค่คำพูดที่เรียบง่าย
จิ้นเฟิงเหรายกมือขึ้นลูบจมูกตัวเอง โดยไม่ได้พูดอะไรขึ้นต่ออีก
ขณะที่ลู่เจิงมองเห็นเจียงสื้อสื้อที่นอนอยู่บนเตียงนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปดูแย่ทันที
สีหน้าที่ซีดขาวราวกับกระดาษ แม้แต่ริมฝีปากก็ยังไม่มีเลือดฝาดเลยแม้แต่น้อย
ถ้าหากเส้นกราฟบนจอมอนิเตอร์ไม่ได้เคลื่อนไหวไปมาอยู่ล่ะก็ เขาก็คงจะคิดจริงๆ ว่าเธอคง……
เขารู้สึกเสียใจจริงๆ
เขาไม่ควรจะปล่อยให้เธอไปช่วยลูกเธอเลย
“คุณหมอบอกว่าตอนนี้เธอพ้นขีดอันตรายแล้วล่ะ” จิ้นเฟิงเฉินเดินเข้ามา
ลู่เจิงเองก็ยิ้ม “ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วหรือ?”
ชั่วเสี้ยววินาทีต่อมา เขาก็หันหน้าไปจ้องจิ้นเฟิงเฉินด้วยความโกรธ “ทำไมเวลาเธอมาเจอกับคุณ ถึงได้ไม่มีเรื่องอะไรดีๆ เลยนะ?”
“เดิมทีเธอเองก็ใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหนานดีๆ อยู่แล้ว ถ้าหากไม่ใช่เพราะจู่ๆ คุณก็โผล่ออกมา เธอก็คงไม่รู้ว่าลูกของเธอถูกลักพาตัวไป เธอก็คงจะไม่โร่กลับมาช่วยลูกแบบนี้ และก็ไม่มีทางมานอนไม่ขยับแบบนี้แน่”
“จิ้นเฟิงเฉิน นี่คุณไปวางยาอะไรเธอกันแน่ ถึงได้ให้เธอทำตัวแบบไม่สนใจอะไรเลย แม้กระทั่งชีวิตของตัวเธอเองก็ยังไม่ต้องการ!”
จิ้นเฟิงเฉินหรี่ตาลง “เรื่องระหว่างฉันกับสื้อสื้อ ยังไม่ได้อยู่ในจุดที่คุณจะต่อปากต่อคำได้หรอกนะ”
ลู่เจิงหัวเราะอย่างเหยียดหยาม “ถึงจะไม่ได้อยู่จุดนั้น แต่ผมขอร้องคุณล่ะ โปรดปล่อยสื้อสื้อไปเถอะ เธอเป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง ถ้าหากคุณให้ความสุขกับเธอไม่ได้ ก็ควรปล่อยเธอไปเถอะครับ”
ปล่อยเธอไปงั้นหรือ?
จิ้นเฟิงเฉินกำหมัดแน่น พลางคิดว่ายังไงทั้งชีวิตของเขา ก็ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน!
“ถ้าหากคุณลู่มาเยี่ยมสื้อสื้ออย่างบริสุทธิ์ใจจริงๆ ผมก็ยินดีต้อนรับ แต่ถ้าหากจะมาต่อความยาวสายความยืดแบบนี้ ก็รบกวนกลับไปเถอะครับ คุณไม่มีคุณสมบัตินั้นหรอก!” จิ้นเฟิงเฉินจ้องเขาอย่างเยือกเย็น
ลู่เจิงมองเขาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเคลื่อนสายตาไปมองเจียงสื้อสื้อแทน
พลันด้านในห้องผู้ป่วยก็เงียบลงทันที
ลู่เจิงเองก็ไม่ได้อยู่นาน เขาเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งก่อนหน้าที่เขาจะจากไปนั้น เขาพูดกับจิ้นเฟิงเฉินว่า : “ดูแลเธอดีๆ ด้วย อย่าให้เธอได้รับบาดเจ็บอะไรอีก”
“ฉันรู้ดี”
แค่คำง่ายๆ สามคำ กลับแสดงถึงการให้คำสัญญามั่น
ลู่เจิงเองก็รู้ดีว่า จิ้นเฟิงเฉินเป็นคนที่พูดอะไรก็ทำได้อย่างนั้น เขาจึงหันกลับมามองคนที่นอนอยู่บนเตียงอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยอยิ้มมุมปาก แล้วเดินก้าวเท้ายาวจากไปทันที
……
กว่าเจียงสื้อสื้อจะตื่นขึ้นมา ก็เข้าสู่วันต่อมาแล้ว
ในช่วงระหว่างนั้น ตอนที่ยาสลบหมดฤทธิ์ แต่เธอกลับไม่ยอมตื่นเลย ทำให้จิ้นเฟิงเฉินตื่นตกใจจนต้องไปเรียกคุณหมอมา
“เธอน่าจะเหนื่อยมากน่ะครับ ก็เลยหลับไป”
เหนื่อยมากงั้นหรือ?
พลันจิ้นเฟิงเฉินก็รู้สึกเจ็บปวดใจอย่างมาก
เพื่อที่จะช่วยเสี่ยวเป่า เธอจึงได้รีบรุดมาจากเมืองหนาน หากไม่เหนื่อยก็คงแปลกแล้วล่ะ
นี่เป็นครั้งแรกเลยตั้งแต่ที่เจียงสื้อสื้อไปจากเมืองจิ่น ที่เธอได้หลับสนิทและสงบแบบนี้
ไม่ได้มีฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนเธออีก
ตอนที่ตื่นมานั้น เธอก็ตื่นมาอย่างสดชื่นเช่นกัน
ทันทีที่ลืมตาตื่น ใบหน้าที่ดูหล่อเหลาก็ปรากฏเข้าสู่สายตาของเธอ
เขาก็คือจิ้นเฟิงเฉินนั่นเอง
ซึ่งเขากำลังหลับตา ราวกับว่ากำลังหลับอยู่
เธอจึงคิดจะลุกขึ้นนั่ง โดยที่ไม่คำนึงถึงบาดแผลของเธอ ทำให้เธอกลับลงไปนอนลงกับเตียงอย่างเจ็บปวด
“โอ๊ย!”
จิ้นเฟิงเฉินลืมตาตื่นขึ้นทันที พอเขาเห็นว่าเธอกำลังกัดฟันด้วยความเจ็บปวดแบบนั้น เขาก็รีบลุกขึ้นเข้าไปหาเธอ พร้อมทั้งถามอย่างเป็นห่วง : “มีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า?”
เธอรีบส่ายหัว “ไม่มีหรอกค่ะ”
พลันสีหน้าของจิ้นเฟิงเฉินก็ขรึมลง “สื้อสื้อ”
เห็นๆ อยู่ว่าเธอเจ็บจนเหงื่อซึมออกมาทางหน้าผาก แต่เธอกลับมาพูดว่าไม่มีอีก
ทำไมเธอถึงเป็นคนไม่ซื่อตรงแบบนี้นะ?
จุดนี้ทำให้เขารู้สึกโกรธขึ้นมา
เจียงสื้อสื้อพยายามอดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ พร้อมทั้งฝืนยิ้มออกมา “ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ นะ แค่เมื่อกี้ลุกไปโดนแผลเท่านั้นเอง…เจ็บ!”
พอพูดจบ เธอก็เบ้ปากด้วยความเจ็บ
จิ้นเฟิงเฉินเห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ “ทำไมถึงไม่ระวังแบบนี้ล่ะ?”
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” เขาถามขึ้น
“ตรงไหนก็เจ็บหมดเลย” เจียงสื้อสื้อพูดออดอ้อนขึ้นมาอย่างไม่รู้สึกตัว
“หากรู้ว่าเจ็บ ทำไมตอนนั้นถึงได้มุทะลุเข้าไปแบบนั้นล่ะ?” จิ้นเฟิงเฉินมองเธออย่างไม่สบอารมณ์หน่อยๆ
สวรรค์จะรู้บ้างไหม ว่าตอนนั้นเขาตกใจจนหัวใจแทบจะหยุดเต้นไปเลย
เจียงสื้อสื้อเองก็ไม่รู้ว่าทำไม ตอนนั้นตัวเธอเองถึงได้มีความกล้าแบบนั้น พอเธอรู้ว่าอีกฝ่ายมีปืน เธอก็อุ้มเสี่ยวเป่าออกวิ่งหนีทันที
เสี่ยวเป่า?
ใช่แล้ว แล้วเสี่ยวเป่าล่ะ?
เธอมองดูในห้องก็พบว่า มีเพียงเธอกับจิ้นเฟิงเฉินเท่านั้น จึงถามขึ้นว่า : “แล้วเสี่ยวเป่าล่ะ? เขาไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
“ไม่เป็นอะไรหรอก คุณปกป้องเขาเอาไว้อย่างดี จะเป็นอะไรไปได้ยังไงกันล่ะ?”
พอได้ยินแบบนั้น เจียงสื้อสื้อก็โล่งอก “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะ””
ขอเพียงเสี่ยวเป่าไม่เป็นอะไร การที่เธอบาดเจ็บก็ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ
ไม่รู้ว่าเขาอ่านใจเธอได้หรือเปล่า เพราะจู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาว่า : “สื้อสื้อ หลังจากนี้คุณอย่าเอาตัวเข้าไปเสี่ยงแบบนั้นอีกนะ การที่คุณทำแบบนี้มันทำให้ผมดูไม่มีประโยชน์มากเลยนะ”
แม้แต่ผู้หญิงของตัวเองยังปกป้องไม่ได้ มันทำให้เขารู้สึกพ่ายแพ้เป็นครั้งแรกในชีวิตเลย
“อือ” เจียงสื้อสื้อเม้มปากแน่น “จริงๆ แล้วตอนนั้นฉันสามารถพาเสี่ยวเป่าหนีไปได้ล่ะนะ แต่ใครจะรู้ล่ะว่าอีกฝ่ายเองก็มีคนตามมาเหมือนกัน”
พอได้ยินแบบนี้ จิ้นเฟิงเฉินก็ยิ้มอย่างอดไม่ได้ “เจียงสื้อสื้อ คุณไม่ใช่ซุปเปอร์วูแมนนะ แล้วก็ไม่ใช่วีรสตรีอะไรสักหน่อย รู้ไหม?”
ถึงแม้ว่าเขากำลังยิ้มอยู่ แต่เห็นได้ชัดว่าภายในรอยยิ้มนั้น มีความโกรธซ่อนอยู่เบื้องหลัง
“ฉันรู้แล้วล่ะค่ะ” เจียงสื้อสื้อตัดสินใจว่าจะไม่พูดอะไรต่อ เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงไม่ให้เขาโกรธขึ้นมาอีก
“แล้วเสี่ยวเป่าล่ะ?” เจียงสื้อสื้อถามขึ้นเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“กลับบ้านแล้วล่ะ”
ชั่วขณะนั้นเจียงสื้อสื้อเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี จึงทำได้เพียงอยู่เงียบๆ ไปแบบนั้น พร้อมทั้งแอบมองเขาด้วยหางตา
ไม่ถูกสิแบบนี้ เห็นๆ อยู่ว่าพวกเธอเองก็อยู่ห่างกันตั้งสองเดือน ทำไมถึงรู้สึกว่าตัวเองกลับไม่เคยอยู่ห่างกันมาก่อนเลยนะ?