ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 294 คงจำเป็นต้องย้ายออก
บทที่ 294 คงจำเป็นต้องย้ายออก
ซูชิงหยิงกับแม่ของเธอกลับออกไปอย่างกระฟัดกระเฟียด แม้แต่ข้าวก็ไม่กิน
“ต้องขอโทษคุณลุงกับคุณป้าด้วยนะคะ ที่หาเรื่องยุ่งยากมาให้” เจียงสื้อสื้อยืนขึ้น หลุบตาลงต่ำ เป็นเพราะโทษตัวเอง ทำให้มือทั้งสองของเธอ กำแน่นเข้าด้วยกันอย่างไม่สงบใจต่อหน้าเธอ
“ไม่ใช่ความผิดหนูหรอกนะ ไม่ต้องขอโทษพวกลุงหรอก” คุณพ่อจิ้นพูดปลอบใจ
คุณแม่จิ้นเองก็พูดเสริมขึ้น : “ใช่แล้วล่ะ ไม่ใช่ความผิดหนูหรอกนะ เป็นความผิดของชิงหยิงนั่นล่ะ”
พอพูดถึงตรงนี้ คุณแม่จิ้นก็ถอนหายใจหนักดังเฮือก “คิดไม่ถึงเลยว่า ชิงหยิงจะเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้”
“คนเราก็มักจะเปลี่ยนไปแบบนี้ล่ะ” คุณพ่อจิ้นตบบ่าเธอเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบใจ
เขาหันไปมองเจียงสื้อสื้อที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ จึงยิ้มพูด : “สื้อสื้อ นั่งกินข้าวเถอะ เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ไม่ต้องไปใส่ใจหรอกนะ”
พอได้ยินแบบนั้น เจียงสื้อสื้อก็เงยหน้ามองดู รอยยิ้มที่อบอุ่นบนใบหน้าของคุณพ่อจิ้น อดไม่ได้ที่จะน้ำตาคลอเบ้าจริงๆ
“ขอบคุณคุณลุงคุณป้ามากนะคะ” เธอพูดด้วยเสียงสะอึกสะอื้นหน่อยๆ
คุณแม่กับคุณพ่อจิ้นเองก็หันหน้ามองกัน ก่อนจะพูดขึ้นว่า : “สื้อสื้อ ไม่ต้องคิดมากหรอกนะ รีบๆ กินข้าวดีกว่า แล้วค่อยกลับขึ้นไปพักผ่อนนะ”
“ได้ค่ะ” เจียงสื้อสื้อนั่งลงอย่างว่าง่าย และก้มหน้าก้มตากินข้าวไปอย่างเงียบๆ โดยที่ยากจะข่มความรู้สึกในใจให้สงบได้
ถึงแม้ว่าคุณพ่อคุณแม่จิ้นจะไม่ได้พูดอะไร หรือแม้กระทั่งคอยปลอบใจเธอก็ตาม แต่ยังไงเธอก็ไม่สามารถละความรู้สึกนั้นไปได้
ดูเหมือนว่า เธอคงจะต้องหาเวลาคุยเรื่องนี้กับจิ้นเฟิงเฉินเสียหน่อยแล้ว สงสัยเธอคงต้องย้ายออกไปอยู่ข้างนอกแล้วล่ะ
……
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ซูชิงหยิงกับแม่ของเธอต่างก็ออกมาจากบ้านตระกูลจิ้น ด้วยอารมณ์ที่กระฟัดกระเฟียดไม่พอใจ
“ทำไมฉินมู่หลันถึงได้พูดช่วยไอ้คนต่ำต้อยนั้นกันนะ?” คุณแม่ซูพูดด้วยใบหน้าฉุนเฉียว
เดิมทีพวกเธอก็จะมา “เตือน” ผู้หญิงคนนั้นอยู่แล้ว เพื่อให้เธอได้รู้ว่า ตระกูลจิ้นกับจิ้นเฟิงเฉิน ไม่ใช่สิ่งที่เธอจะคว้ามาได้
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า สุดท้ายแล้วเรื่องจะกลับตาลปัตรแบบนี้
ซูชิงหยิงเองก็พูดอย่างโกรธเกลียด ด้วยใบหน้าที่อึมครึม : “คนต่ำช้านั่นดูท่าจะมีฝีมือไม่น้อยเลยนะคะ ถึงได้ซื้อใจคนได้แบบนี้ หนูคงจะดูถูกมันไปหน่อย”
“แล้วตอนนี้จะทำยังไงกันดีล่ะ” คุณแม่ซูถาม “ดูจากท่าทีของฉินมู่หลันแล้ว แม่คิดว่าคงจะไม่พอใจลูกอยู่แน่”
ซูชิงหยิงยิ้มอย่างเยือกเย็น “ถึงแม้หนูจะไม่สามารถแต่งงานกับจิ้นเฟิงเฉินได้ก็ตาม แต่หนูไม่มีทางยอมแพ้ไอ้คนต่ำช้านั่นหรอกนะคะ”
ในเมื่อเธอไม่ได้ คนอื่นก็อย่าหวังว่าจะได้เลย
……
กว่าจิ้นเฟิงเฉินจะกลับมาถึงบ้าน ก็ปาเข้าไปห้าทุ่มกว่าแล้ว ทันทีที่มาถึงเขาก็ไปหาเจียงสื้อสื้อที่ห้องก่อน เพื่อดูว่าเธอหลับแล้วหรือยัง แต่เขากลับพบว่าเธอไม่ได้อยู่ที่ห้อง
ชั่วขณะนั้นเขาก็รู้สึกตระหนกทันที เพราะคิดว่าครั้งนี้เธอจะไปแบบไม่ลาอีกครั้ง
เขารีบหมุนตัวพุ่งออกจากห้อง ก่อนจะรีบลงไปชั้นล่าง แต่ชั่วขณะนั้นเอง ก็มีเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัยดังขึ้นจากด้านหลัง : “คุณจะไปไหนหรือคะเฟิงเฉิน?”
เป็นโทนเสียงและน้ำเสียงที่คุ้นเคยจริงๆ
จิ้นเฟิงเฉินหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว ก็เห็นว่าเจียงสื้อสื้อกำลังถือแก้วน้ำเดินมาอย่างช้าๆ
เจียงสื้อสื้อเห็นเขาจ้องมาที่ตัวเองไม่วางตา จึงถามอย่างประหลาดใจ : “หน้าฉันมีอะไรติดอยู่หรือคะ?”
ยังไม่ทันได้พูดจบ เขาก็โผเข้ามากอดเธอไว้ทันที แถมยังใช้แรงอย่างมหาศาล ราวกับจะเอาเธอฝังเข้าไปในตัวเขายังไงยังงั้น
เจียงสื้อสื้อพลันรู้สึกได้ว่าเขาดูไม่ค่อยปกติเท่าไหร่เสียแล้ว
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือคะ?” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
พอรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในร่างกายเธอ อีกทั้งได้กลิ่นเฉพาะของเธอ ทำให้ความหวาดกลัวในใจ ค่อยๆ สงบลงอย่างช้าๆ
“ทำไมคุณไม่อยู่ในห้องล่ะ?” จิ้นเฟิงเฉินถาม ด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งหน่อยๆ
“ฉันอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องหนังสือนี่นา มีอะไรหรือคะ?”
“ไม่มีอะไรหรอก” จิ้นเฟิงเฉินคลายตัวเธอ ก่อนจะก้มหน้าลงมองแววตาที่สดใสของเธอ “ร่างกายของคุณยังฟื้นฟูได้ไม่ดีเลยนะ ต้องพักผ่อนให้เร็วๆ นะ”
“ฉันรู้แล้วล่ะ พอดีว่าอ่านหนังสือจนลืมเวลาไปเลย”
แบบนี้คงต้องโทษหนังสือเล่มนั้นแล้วล่ะมั้ง ที่ทำออกมาได้น่าอ่านขนาดนั้น ทำให้เธออ่านจนแทบไม่อยากจะวาง ทำให้ลืมเวลาจนล่วงเลยมาดึกขนาดนี้
แต่ว่า การตอบสนองของเขาเมื่อกี้นี้นี่สิ ดูน่าแปลกกว่าเยอะเลย
ราวกับเขากลัวว่าจะไม่เห็นเธอยังไงยังงั้น
เมื่อคิดได้แบบนี้ เจียงสื้อสื้อก็เขม่นตา นี่หรือว่า……
“คุณกลับห้องไปก่อนเถอะ เดี๋ยวผมจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า” จิ้นเฟิงเฉินยกมือขึ้นลูบหัวของเธอ ก่อนจะออกก้าวกลับไปยังห้องของเขา
“รอเดี๋ยว” เจียงสื้อสื้อรั้งเขาไว้
“ทำไมหรือ?” จิ้นเฟิงเฉินหันกลับมามองเธอ ด้วยสายตาที่ฉายแววความอ่อนโยน
เจียงสื้อสื้อเงยหน้าขึ้นจ้องเขาเขม็ง “เมื่อกี้นี้คุณคิดว่าฉันจะจากไปแบบไม่ลาอีกใช่ไหม?”
พอพูดไป รอบๆ ก็ราวกับตกอยู่ในความเงียบสงัดไม่ปาน
ทั้งสองคนต่างสบตามองกันอยู่แบบนั้น ไม่มีใครยอมพูดอะไรออกมาสักคำ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ในที่สุดจิ้นเฟิงเฉินก็พูดขึ้น : “ไม่ต้องคิดมากไปหรอกนะครับ” เขายิ้มให้ ก่อนจะหันหลังก้าวเท้ายาวกลับห้องไปทันที
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไรก็ตาม แต่เจียงสื้อสื้อรู้ดีว่าเขาคิดแบบนั้น ไม่อย่างนั้นตอนที่เขาหันมาเห็นเธอตอนนั้น คงจะไม่แสดงอารมณ์หมดหวังแบบนั้นออกมาแน่
เธออยากจะเข้าไปบอกเขาตรงๆ เหลือเกิน ว่าเธอไม่มีทางจะหนีไปไหนได้หรอก ถึงแม้ว่าจะมีคนไล่ให้เธอไปก็ตาม แต่เธอก็ไม่อาจจะไปไหนได้
แต่เธอไม่ได้มีความกล้าขนาดนั้น
เธอกลัวว่าเขาจะไม่เชื่อเธอ เมื่อคิดถึงช่วงก่อน ที่ตัวเธอเองได้จากไปโดยไร้คำร่ำลากับเขา มันเหมือนกับสร้างบาดแผลให้กับเขา ทำให้เธอรู้สึกเสียใจและรู้สึกผิดมาก
ไม่ได้นะ เธอควรต้องคิดหาวิธีว่า จะทำยังไงให้เขาสงบใจลงได้ดีกว่า
หลังจากที่จิ้นเฟิงเฉินเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เขาก็มาหาเจียงสื้อสื้อที่ห้อง
“มานั่งนี่สิคะเฟิงเฉิน” เจียงสื้อสื้อนั่งอยู่ขอบเตียง พร้อมทั้งเอามือตบลงไปบนที่ว่างข้างๆ เธอ
ท่าทางที่เธอแสดง ราวกับแม่ที่กำลังจะเรียกลูกมาสั่งสอนยังไงยังงั้น
จิ้นเฟิงเฉินได้เห็นก็อดไม่ได้ที่จะเผยอยิ้มมุมปาก ก่อนจะเดินไปนั่งอย่างช้าๆ จากนั้นก็หันหน้าไปมองเธอ “คุณมีเรื่องจะพูดกับผมหรือเปล่า?”
“อืม” เจียงสื้อสื้อพยักหน้า “ฉันรู้สึกว่าร่างกายของฉันดีขึ้นมากแล้วล่ะ คงเป็นการไม่สมควรหากจะอยู่ที่นี่รบกวนพ่อแม่ของคุณต่อไป”
“คุณคิดจะย้ายออกไปหรือ?”
“ไม่ได้หรือคะ?” เจียงสื้อสื้อไม่ได้ตอบ แต่ถามกลับไป
“ได้สิ ย้ายไปที่บ้านของผมก็ได้นะ”
“ได้ค่ะ” เจียงสื้อสื้อตอบไปตรงๆ ทำให้จิ้นเฟิงเฉินรู้สึกไม่ค่อยจริงใจเท่าไหร่ “คุณยอมที่จะอยู่ที่บ้านผมจริงงั้นหรือ?”
“ก็ใช่สิคะ หรือคุณไม่คิดจะต้อนรับฉันงั้นหรือ?”
จิ้นเฟิงเฉินได้ยินก็อดหัวเราะไม่ได้ “ผมแทบอยากจะมัดตัวคุณไปอยู่ด้วยเลยด้วยซ้ำ แล้วแบบนี้ทำไมจะไม่ต้อนรับคุณกันล่ะ?”
เจียงสื้อสื้อมองเขา ก่อนจะโอบกอดเขาพร้อมรอยยิ้มที่เขินอาย และเอาหัวอิงไหล่ของเขาเอาไว้ “เฟิงเฉิน ฉันคงไม่อาจจะไปจากคุณและเสี่ยวเป่าได้อีกครั้งหรอก ถึงแม้ว่าคุณจะไล่ฉันไปก็ตาม แต่ฉันก็คงไม่ไปแน่”
พอได้ยินแบบนั้น ในใจของจิ้นเฟิงเฉินก็กระตุกเล็กน้อย เธอต้องรู้สึกถึงอะไรบางอย่างแน่นอน ถึงได้พูดแบบนี้ออกมา
แต่พอเขาไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำให้เจียงสื้อสื้อรู้สึกร้อนใจทันที “คุณไม่เชื่อฉันงั้นหรือคะ?”
จิ้นเฟิงเฉินยิ้ม “เชื่อสิ ผมเชื่อคุณอยู่แล้ว”
เจียงสื้อสื้อได้ยินก็ถอนหายใจโล่งอกด้วยความสบายใจ
ทั้งสองคนต่างก็โอบกอดกันเงียบๆ แบบนั้นอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เจียงสื้อสื้อจะพูดขึ้น : “ถ้าหากคุณอยากจะรู้อะไรล่ะก็ ถามฉันมาตรงๆ เลยก็ได้นะคะ ฉันจะไม่ปิดบังคุณ”
เขารู้อดีตของเธออยู่แล้ว แต่กลับไม่พูดถึงมันสักคำ
เธอรู้ดีว่าเขาใส่ใจความรู้สึกของเธอ และไม่อยากให้เธอคิดมากแค่ไหน แต่หากเป็นแบบนี้ เธอคงจะสงบใจไม่ลงเป็นแน่
จิ้นเฟิงเฉินหันหน้าเหลือบมองเธอ ด้วยแววตาที่อ่อนโยนราวกับสายน้ำ ก่อนที่ริมฝีปากเรียวบางของเขาจะขยับ : “เรื่องที่ควรรู้ผมก็รู้หมดแล้วล่ะ ไม่จำเป็นต้องถามอะไรอีกแล้วล่ะ”
“แต่ว่า……” แต่เรื่องพวกนั้น เขาได้ยินมาจากปากคนอื่นทั้งนั้น เธออยากจะพูดแบบนี้ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พูดออกมาแต่อย่างใด
“สื้อสื้อ” จิ้นเฟิงเฉินเรียกเธออย่างแผ่วเบา
“อือ”
“คนที่ผมรักก็คือคุณ ขอเพียงมีคุณก็พอแล้ว ไม่ว่าอดีตของคุณจะเป็นยังไงก็ตาม ผมก็จะรักเพียงแต่คุณ และรักเจียงสื้อสื้อที่ผมรู้จักเท่านั้น”
เจียงสื้อสื้อที่อิงไหล่เขาอยู่ก็ยิ้มขึ้น พร้อมด้วยแววตาที่ราวกับมีหมอกจางๆ มาทำให้พร่ามัว
ในใจของเธอรู้สึกทั้งหวานชื่นทั้งขมขื่น เอ่อล้นจนเต็มท่วมไปหมด