ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 296 กำลังสั่งสอนฉันอยู่หรือ
บทที่ 296 กำลังสั่งสอนฉันอยู่หรือ
กว่าสามเดือนแล้ว เป็นอีกครั้งที่ได้กลับมาอยู่ในบ้านพักของจิ้นเฟิงเฉินอีกครั้ง ทำให้ความรู้สึกต่างๆ นาๆ ไหลเอ่อท่วมท้นในใจของเธอ เจียงสื้อสื้อยืนอยู่ที่โถงรับแขก ก่อนจะมองสำรวจไปรอบๆ ทั้งหมดที่มีแทบจะไม่ได้เปลี่ยนไปเลย แต่กลับรู้สึกเหมือนมีบางอย่างเปลี่ยนไป ช่างเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกจริงๆ
“สวัสดีครับคุณหญิง” พ่อบ้านเดินมาต้อนรับ
พอได้ยินคำว่า “คุณหญิง” ในใจของเจียงสื้อสื้อก็กระตุกไปมา ก่อนจะหันไปพูดกับพ่อบ้านว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือคะ?”
เธอเองก็ไม่ได้ต้องการให้พ่อบ้านเปลี่ยนวิธีเรียกเธอ จึงยอมรับไปเองโดยปริยาย
“คุณชายสั่งมาน่ะครับ ว่าให้คุณหญิงพักผ่อนให้เพียงพอ และหากมีเรื่องอะไร ก็สามารถออกคำสั่งกับพวกเราโดยตรงได้เลยนะครับ”
“ฉันรู้แล้วล่ะ” เจียงสื้อสื้อพยักหน้ายิ้ม
จริงๆ แล้วร่างกายของเธอก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติแล้ว แต่เป็นเพราะจิ้นเฟิงเฉินรักและเป็นห่วงเธอ จึงกลัวว่าจะฟื้นฟูกลับมาได้ไม่ดี
แต่เธอรู้สึกว่าหากเธอยังคงพักผ่อนแบบนี้ต่อไป เธอคงจะกลายเป็นหมูจริงๆ แน่!
……
ตกบ่าย ยังไม่ทันได้เวลาเลิกงาน จิ้นเฟิงเฉินก็เริ่มเก็บข้าวของ จัดระเบียบเอกสารที่อยู่ข้างมือของเขาเอง
จิ้นเฟิงเหราที่แอบขี้เกียจอยู่ในห้องทำงานของเขาเห็นเข้า ก็แอบยิ้มกรุ้มกริ่ม : “พี่ครับ พี่จะเลิกงานเร็วกลับไปอยู่กับพี่สะใภ้อีกล่ะสิครับเนี่ย”
จิ้นเฟิงเฉินทำเป็นไม่สนใจเขา
ดังนั้น เขาจึงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงาน พร้อมกับโน้มตัวลงไปหาเขาอย่างเอ้อระเหย ก่อนจะยิ้มร่าจ้องจิ้นเฟิงเฉินแบบนั้น “พี่ครับ ตั้งแต่ที่พี่รู้จักกับพี่สะใภ้ พี่นี่แหกกฎของตัวเองไม่หยุดเลยนะ แบบนี้มันดูไม่ดีนะครับ พี่เป็นถึงประธานของบริษัท จะมากลับก่อนแบบนี้ดูไม่ดีนะครับ”
“ปึง!” จิ้นเฟิงเฉินปิดเอกสารลงอย่างรุนแรง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยแววตาที่เยือกเย็น ก่อนที่ริมฝีปากเรียวบางจะขยับ : “นี่นายกำลังสั่งสอนพี่อยู่หรือไง?”
“ไม่ใช่แน่อยู่แล้วครับ” จิ้นเฟิงเหรายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ผมก็แค่อิจฉาพี่เท่านั้นเอง ไม่สิ ถึงขั้นริษยาเลยล่ะ พอพี่มีพี่สะใภ้ พี่จะกลับเร็วมาสายยังไงก็ได้ แต่ผมน่ะสิอยู่ตัวคนเดียวอย่างสันโดษ ทำได้เพียงอยู่ล่วงเวลาอย่างน่าขมขื่น ก็เลยต้องแอบหนีมาขี้เกียจที่พี่ยังไงล่ะ”
เขาพูดดูน่าเวทนาจริงๆ
จิ้นเฟิงเฉินได้ยินก็หัวเราะเยาะ “ที่แม่ก็มีผู้หญิงเป็นกองให้นายเลือก ถ้าหากอิจฉาพี่จริงล่ะก็ ก็เลือกที่แม่มาสักคนสิ”
“ก็ผมไม่ต้องการนี่นา” เขาก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น ไม่คิดจะเอาตัวเองไปผูกมัดเร็วขนาดนั้นหรอก
อีกอย่าง อีกครึ่งหนึ่งของชีวิตเขา เขาก็ต้องเป็นคนหาเอง การดูตัวกับพวกตระกูลรวยๆ นี่มันไม่น่าเชื่อถือหรอกนะ
พอเห็นเขาพูดกลับกลอกราวกับปลาไหล จิ้นเฟิงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะเผยอยิ้ม
ถึงปากจะบอกว่าอิจฉาริษยา แต่ในใจกลับอยากอยู่คนเดียว นอกจากเขาแล้วก็คงไม่มีคนอื่นแล้วล่ะ
“ใช่แล้วล่ะพี่ ซูซานรู้แล้วนะครับว่าพี่สะใภ้กลับมาแล้ว ก็เลยอยากจะถามว่าอยากให้พี่สะใภ้ กลับไปทำงานที่บริษัทจิ่นซื่อหรือเปล่า”
กลับไปทำงานที่จิ่นซื่องั้นหรือ?
จิ้นเฟิงเฉินนิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามขึ้น : “ตามหาคนที่แปะประกาศได้หรือยัง?”
“ยังเลยครับ”
จิ้นเฟิงเฉินหรี่ตาลงอย่างดูอันตราย “เฟิงเหรา รู้สึกว่าประสิทธิภาพในการทำงานของนายช่วงนี้ นับวันจะยิ่งต่ำลงนะว่าไหม?”
นี่ก็ผ่านไปเกือบจะสามเดือนแล้ว แต่เขายังตามหาคนแปะประกาศไม่ได้เลย
“พี่ครับ เรื่องนี้พี่จะโทษผมไม่ได้นะ!” จิ้นเฟิงเหราตะโกนลั่นร้องขอความเป็นธรรม “ก็ผมยุ่งอยู่กับการตามหาที่อยู่ของพี่สะใภ้นี่ครับ เรื่องนี้ก็เลยล่าช้าไปเลย”
ตอนที่ยังหาพี่สะใภ้ไม่เจอ เขาจะไปสนใจตามหาคนประกาศอยู่ทำไมกันล่ะ
“ให้เวลานายอาทิตย์หนึ่งแล้วกัน ถ้าหากยังหาไม่ได้ล่ะก็ นายก็คงต้องไปฝึกฝนที่ทวีปแอฟริกาสักหน่อยแล้วล่ะนะ”
พอได้ยินแบบนั้น จิ้นเฟิงเหราก็ทำหน้าทำตาเหมือนอย่างกับจะร้องไห้ “พี่ครับ พี่นี่ใจร้ายจังเลย ถึงขนาดจะส่งผมไปที่ทวีปแอฟริกาเลยหรือครับ”
“หากความสามารถไม่ถึง ก็คงทำได้แค่แบบนี้ล่ะนะ” จิ้นเฟิงเฉินชายตามองเขาอย่างเยือกเย็น หลังจากนั้นก็หยิบเสื้อนอก ลงจากที่แขวนเสื้อแล้วสวมมันลง
“พี่จะกลับไปก่อนนะ หากยังมีปัญหาอะไรอีกล่ะก็ นายก็ลองปรึกษากับกู้เนี่ยนดูนะ ว่าจะแก้ไขกันยังไง” พูดจบ จิ้นเฟิงเฉินก็ก้าวเท้ายาวเดินออกไป โดยไม่สนใจจิ้นเฟิงเหราที่กำลังร้องโอดครวญเลยแม้แต่น้อย
“พี่ครับ นี่พี่ทำเกินไปแล้วนะ! คิดไม่ถึงเลยว่าจะโยนงานมาไว้ที่ผมหมด! ผมไม่ใช่ประธานบริษัทนะ พี่ต่างหากที่เป็น!”
“ถ้าหากนายอยากจะเป็นล่ะก็ ฉันยอมยกให้นายเป็นก็ได้นะ” คำพูดของจิ้นเฟิงเฉินลอยเข้ามาจากด้านนอก ทำให้จิ้นเฟิงเหราไม่กล้าที่จะโอดครวญอีกต่อไป
นี่มันเรื่องตลกอะไรกันเนี่ย!
เขาไม่ได้อยากเป็นประธานอะไรนั่นสักหน่อย ยิ่งมีภาระหน้าที่เยอะก็ยิ่งลำบากนี่นา
……
เจียงสื้อสื้อที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องหนังสือ พลันได้ยินเสียงพูดคุยกันมาจากด้านล่างอย่างรางเลือน
เธอเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือ ก่อนจะมองไปที่นาฬิกาบนกำแพง ตอนนี้ก็เกือบจะหกโมงเย็นแล้ว
เฟิงเฉินกลับมาแล้วงั้นหรือ?
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ประตูห้องหนังสือก็ถูกเปิดเข้ามาจากด้านนอกทันที
เธอจึงรีบหันไปมอง ก็เห็นจิ้นเฟิงเฉินที่เดินเข้ามา
ในห้องหนังสือตอนนี้ไม่มีไฟดวงใหญ่เปิด จะมีก็เพียงโคมไฟบนโต๊ะที่เปิดอยู่ แถมยังเป็นแสงสลัวๆ อีกด้วย
ซึ่งเธอเองก็ขลุกตัวอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้ ที่อยู่ห่างจากโคมไฟตัวนั้นอีกแล้ว
จิ้นเฟิงเฉินขมวดคิ้วเข้าด้วยกัน ก่อนจะตำหนิขึ้น : “ไม่อยากใช้ตาแล้วหรือไง?”
เจียงสื้อสื้อแลบลิ้นให้เขา ก็เห็นว่าเขาเดินไปเปิดไฟ จากนั้นเธอก็ถามขึ้น : “ทำไมวันนี้ถึงกลับมาเร็วล่ะ?”
“กลับมากินข้าวกับคุณไง”
พลันในใจของเจียงสื้อสื้อก็รู้สึกอบอุ่นขึ้น จนเห็นได้ชัดเลยว่ากำลังเบิกบานใจอยู่ แต่ปากกลับพูดว่า : “จริงๆ แล้วคุณไม่ต้องกลับมาอยู่กับฉันก็ได้นะ ฉันอยู่ตัวคนเดียวได้ ไม่เป็นอะไรหรอก”
“จริงหรือ?” แววตาที่นิ่งขรึมของจิ้นเฟิงเฉิน จ้องเขม็งมาที่เธอ
แววตาของเขาดูยากแท้หยั่งถึงราวกับสระน้ำที่ลึก แถมยังดูราวกับจะมองทะลุใจคนได้ เจียงสื้อสื้อจึงเบือนตาหนี “นะ…แน่นอนว่าจริงอยู่แล้ว”
“ปากไม่ตรงกับใจนะ” จิ้นเฟิงเฉินหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินมาจูงมือของเธอขึ้น “ไปกันเถอะ พวกเราไปหาอะไรกินกัน”
เจียงสื้อสื้อได้ยินก็นิ่งอึ้งไป “ที่บ้านไม่มีกับข้าวหรือคะ?”
“วันนี้เป็นวันแรกที่คุณกลับมาน่ะ ก็เลยต้องฉลองสักหน่อย”
“ฉลอง?” เจียงสื้อสื้ออดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้น “แม้แต่วันแบบนี้ก็คุ้มที่จะฉลองหรือคะเนี่ย”
“ได้อยู่กับคุณทุกวัน ก็คุ้มค่าที่จะฉลองทุกวันล่ะนะ” จิ้นเฟิงเฉินหันหน้าไปมองเธอ ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรักที่ลึกซึ้งเต็มเปี่ยม
พลันใบหน้าของเจียงสื้อสื้อก็แดงก่ำ เธอก้มหน้าพลางพูดพึมพำ : “ทำไมตอนนี้มาพูดคำหวานๆ แบบนี้ล่ะ?”
“ไม่ใช่คำหวานๆ สักหน่อย แต่เป็นคำพูดจากใจจริงของผมต่างหาก”
เจียงสื้อสื้อยิ่งรู้สึกเขินอาย จนไม่กล้าจะเงยหน้าเข้าไปใหญ่ ก่อนจะพูดอย่างไม่สบอารมณ์ : “ฉันรู้แล้วล่ะ พวกเรารีบไปกันเถอะ ท้องฉันหิวแล้วล่ะ” เธอกลัวว่าหากอยู่แบบนี้ต่อไปอีก เขาอาจจะพูดคำรักๆ ใคร่ๆ อะไรพวกนั้นอีก แล้วเธอก็เป็นคนขี้อายด้วย อาจจะรับมือไม่ได้ก็ได้
แต่ถึงอย่างนั้น ในใจของเธอก็รู้สึกหวานชื่นฉ่ำขึ้นมา
……
จิ้นเฟิงเฉินพาเธอมาที่ภัตตาคารระดับสูง ที่โรงแรมที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของเมืองจิ่น
เมื่อมองจากด้านนอก สามารถดึงดูดสายตา จากทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเมืองจิ่นได้เลย
“สวยจังเลย” ถึงจะเป็นคนของเมืองจิ่น แต่ก็เป็นครั้งแรกที่เธอได้มาชื่นชมทิวทัศน์ยามค่ำคืน ที่สวยงามถึงขนาดนี้
แสงไฟกำลังส่องประกายระยิบระยับ ราวกับเป็นดวงดาวที่ส่องประกายเต็มทั่วฟ้า ส่งแสงแพรวพราวอย่างสวยงามจนไม่อยากจะกระพริบตาเลย
แขกในภัตตาคารเองก็มีไม่น้อย แต่บรรยากาศกลับดูเงียบสงบอย่างมาก แถมยังมีเสียงไวโอลินที่ดูรื่นหู ลอยอ้อยอิ่งไปมาในอากาศ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายเสียจริง
“ทำไมถึงอยากจะพาฉันมาที่นี่หรือคะ?” เจียงสื้อสื้อยอมหันสายตาจากวิวทิวทัศน์ด้านนอก มามองผู้ชายที่อยู่ตรงข้ามเธอ
จิ้นเฟิงเฉินยิ้มขึ้นบางๆ ก่อนจะถามกลับไป : “ชอบไหมล่ะ?”
“ชอบแน่นอนสิ” เจียงสื้อสื้อตอบกลับอย่างรวดเร็ว ซึ่งมองออกเลยว่าเธอเองก็ชอบสถานที่นี้จริงๆ
จิ้นเฟิงเฉินยิ้มพูด “ถ้าคุณชอบก็ดีแล้วล่ะ”
นานมาแล้วที่ไม่ได้เห็นแววตาที่สุกใสสวยงาม ประกอบกับท่าทางที่ดูกระปรี้กระเปร่าแบบนี้ ถือว่าการที่เขาพาเธอมาที่นี่เป็นเรื่องดีล่ะนะ
“อยากจะกินอะไรล่ะ?” จิ้นเฟิงเฉินถาม
“อืม……” เจียงสื้อสื้อคิดอย่างจริงจัง ก่อนจะพูดขึ้น : “ให้คุณตัดสินใจดีกว่า ฉันเชื่อคุณค่ะ”
“ได้รับความเชื่อใจจากคุณแบบนี้ ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากเลยล่ะ” เขาพูดแซวเล่นขึ้น
เจียงสื้อสื้ออดไม่ได้ที่จะยิ้ม ก่อนจะพูดเยาะ : “จิ้นเฟิงเฉิน คุณพูดแบบนี้ดูไม่เป็นนิสัยของคุณเลยนะ”
เขามักจะเป็นระบบระเบียบมาตลอด แม้แต่การพูดเล่นอะไรแบบนี้ ยังหาได้น้อยเลย
“ขอแค่ให้คุณร่าเริง จะอะไรผมก็พูดได้ทั้งหมดนั่นล่ะครับ”
ดูสิ เขาพูดคำรักคำหวานได้อย่างหน้าตายแบบนี้อีกแล้ว
เจียงสื้อสื้อรับมืออะไรแบบนี้ไม่ได้จริงๆ จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อพูดทันควัน : “ฉันหิวแล้วล่ะ รีบๆ สั่งอาหารกันดีกว่านะ”