ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 319 มีผู้บงการอื่นอยู่เบื้องหลัง
บทที่ 319 มีผู้บงการอื่นอยู่เบื้องหลัง
จิ้นเฟิงเฉินมองดูเจียงสื้อสื้อแล้วตอบว่า “ตาย 1 บาดเจ็บ 3 แต่ทุกคนก็ยอมรับผิดหมด เพียงแต่มีปัญหาเล็กน้อย”
“ปัญหาอะไรครับ?”
“คนร้ายบอกว่าเจียงนวลนวลเป็นคนบงการเรื่องนี้ แต่เมื่อเจียงนวลนวลมาให้คนร้ายชี้ตัว คนร้ายกลับบอกว่าไม่รู้จักเธอ”
“หมายความว่ายังไงกัน?” จิ้นเฟิงเหราถาม
“หมายความว่าเจียงนวลนวลคนที่พวกเขารู้จัก ไม่ใช่เจียงนวลนวลคนที่พวกเรารู้จัก” เจียงสื้อสื้ออธิบาย
เมื่ออธิบายแบบนี้ จิ้นเฟิงเหราก็เข้าใจว่า “งั้นหมายความว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจียงสื้อสื้อสิครับ”
“ก็ไม่แน่” จิ้นเฟิงเฉินพูด “อาจจะเกี่ยวข้องกันก็ได้”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็หันกลับไปมองเจียงสื้อสื้อและถามว่า “ตอนที่เจียงนวลนวลเผชิญหน้ากับผู้ร้าย คุณรู้สึกว่าสีหน้าของเจียงนวลนวลเปลี่ยนไปบ้างไหม?”
เจียงสื้อสื้อครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วตอบกลับไปว่า “มีบ้างเล็กน้อยแต่ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจ”
ตอนนั้นหลี่หมิงพูดค่อนข้างมาก แต่เจียงนวลนวลก็ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา อีกทั้งหลี่หมิงเองก็บอกว่าไม่เคยเห็นเธอมาก่อน
ถ้าเช่นนั้น เจียงนวลนวลที่เขาบอกเป็นใครกัน?
จิ้นเฟิงเหราคิดอยู่ชั่วครู่แล้วพูดว่า “แสดงว่ามีคนอื่นบงการอยู่เบื้องหลังสินะ”
“เฟิงเหราคนที่แกส่งไปจับตามองเจียงนวลนวล มีใครพบว่าเธอติดต่อกับคนภายนอกอื่นอีกไหม?” จิ้นเฟิงเฉินถาม
“ไม่มีแล้วนอกจากสองสามีภรรยานั่น กระทั่งหลานซือเฉินก็ไม่ค่อยเห็นมาหาเธอเท่าไหร่”
“ถ้าอย่างนั้นจะเป็นใครกัน?”
จิ้นเฟิงเฉินขมวดคิ้วและครุ่นคิด
จิ้นเฟิงเหรามองไปยังเจียงสื้อสื้อด้วยความเป็นห่วงและถามว่า “พี่สะใภ้ครับ คุณไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรใช่ไหม?”
“ไม่มีค่ะ ต้องขอบใจเธอมากนะที่ตอนนั้นช่วยฉันและพี่ชายเอาไว้”
เจียงสื้อสื้อมองเขาด้วยแววตาซาบซึ้ง ถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของจิ้นเฟิงเหรา พวกเขาเองน่าจะกลายเป็นวิญญาณไปแล้ว
“แหม ไม่เป็นไรหรอกครับ พวกคุณปลอดภัยก็ดีแล้ว” จิ้นเฟิงเหราหัวเราะออกมาเหมือนเด็กๆ
เจียงสื้อสื้อก็ยิ้มตอบกลับไปโดยไม่ได้นึกแคลงใจในคำพูดของเขาแม้แต่น้อย
แต่จิ้นเฟิงเฉินได้มองกลับไปที่เขา คล้ายกับเข้าใจความหมายของจิ้นเฟิงเหรา
“พี่สะใภ้ครับ รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ ให้พี่ชายอยู่เป็นเพื่อนผมก็พอแล้ว” จิ้นเฟิงเหราพูด
เธอเองก็ยังเป็นผู้ป่วยอยู่ จะให้ผู้ป่วยมาดูแลตนได้อย่างไร
เมื่อได้ยินดังนั้น เจียงสื้อสื้อก็ทำหน้าเคร่งขรึมแล้วบอกว่า “นี่กำลังไล่พี่ไปอยู่เหรอ? ถ้าอย่างนั้นพี่โกรธแล้วนะ!”
จิ้นเฟิงเหราคิดว่าเป็นเรื่องจริงจึงรีบปฏิเสธว่า “พี่ครับ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นผมก็แค่……”
“เป็นห่วง” สองคำสุดท้ายเขาไม่ได้พูดมันออกมา ได้แต่นึกอยู่ในใจ
“ก็แค่อะไรหรอ?”
“ก็แค่……” จิ้นเฟิงเหราสลัดสายตาลังเลนั้นทิ้งแล้วพูดว่า “ผมก็แค่กลัวว่าพี่จะบอกว่าผมไม่รู้จักกาลเทศะ”
เจียงสื้อสื้อหัวเราะและบอกว่า “วางใจเถอะน่า พี่ชายเธอไม่ใช่คนอย่างนี้หรอก ยังไงตอนนี้เธอก็เป็นคนช่วยชีวิตเราสองคนเอาไว้ ใช่ไหมคะเฟิงเฉิน” เธอหันไปถามจิ้นเฟิงเฉิน
จิ้นเฟิงเฉินพยักหน้าตอบ
“พี่สะใภ้ครับ อย่าพูดอย่างนี้สิ ผมรู้สึกแย่เลยนะ” จิ้นเฟิงเหรามองไปด้านนอก ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ดังนั้นจึงพูดอีกครั้งว่า “พี่สะใภ้ครับ ผมพูดจริงๆนะ ตอนนี้คุณรีบกลับไปพักผ่อนเถอะ ให้พี่ชายอยู่ที่นี่ก็พอแล้ว”
ครั้งนี้เจียงสื้อสื้อไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เธอยิ้มและพยักหน้าพูดว่า “ก็ได้ๆพี่จะกลับไปพักผ่อน เธอก็พักผ่อนเยอะๆล่ะ”
“เฟิงเฉินคะ ฉันขอกลับไปที่ห้องก่อนนะ” เจียงสื้อสื้อพูดกับจิ้นเฟิงเฉิน
เฟิงเฉินพยักหน้าและบอกว่า “ดูแลตัวเองดีๆนะครับ มีเรื่องอะไรก็โทรหาผมได้เลย”
“ค่ะ”
เจียงสื้อสื้อมองไปทางจิ้นเฟิงเหราแล้วพยักหน้าและหันหลังเดินจากไป
เมื่อเธอจากไปแล้ว จิ้นเฟิงเฉินเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าจิ้นเฟิงเหราเพื่อไม่ให้เขาได้มองเห็นเธอ
“พี่ ทำอะไรเนี่ย!”
จิ้นเฟิงเหราเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่พอใจ ในขณะที่เขากำลังจะบ่นออกมา เขาก็สบสายตาเลือดเย็นของพี่ชาย ทำให้เขารู้สึกใจสั่น
เขาละสายตาไปและถามขึ้นว่า “ใครเป็นคนบงการอยู่เบื้องหลังกันแน่?”
“เฟิงเหรา” จิ้นเฟิงเฉินเรียกชื่อเขา
จิ้นเฟิงเหราได้สติกลับคืนมาและถามว่า “พี่อยากจะพูดอะไรเหรอ?”
“ไม่มี” จิ้นเฟิงเฉินมองไปยังเฝือกที่ขาของเขา แล้วพูดว่า “แค่อยากจะบอกว่าขอบใจนะ”
หากไม่ใช่เพราะเขาวิ่งเข้ามาช่วยเอาไว้ เขาและเจียงสื้อสื้อก็คงจะไม่มีชีวิตรอดแล้ว
คิดไม่ถึงว่าพี่ชายของเขาจะพูดคำว่าขอบคุณออกมาได้ จิ้นเฟิงเหรารู้สึกบอกไม่ถูก จึงพูดว่า
“พี่ครับ อย่าทำแบบนี้สิ ผมไม่ชินเลย”
จิ้นเฟิงเฉินหรี่มองเขาและพูดว่า “สิ่งที่พี่ทำให้แกได้ก็มีแค่คำว่าขอบคุณ ส่วนอย่างอื่นอย่าได้คิด”
ไม่รู้ว่าตัวเขาเองรู้สึกไปเอง หรือประโยคของเขาเมื่อสักครู่มีความหมายอื่น
จิ้นเฟิงเหราเงยหน้ามองเขาและสายตาทั้งคู่ประสานกันอีกครั้งหนึ่ง “ครับ!” ทั้งสองเข้าใจความหมายของกันและกัน
พี่ไม่ได้เดาใจของเขาถูกใช่ไหม?
จิ้นเฟิงเหราตกใจและรีบพูดว่า “ผมจะกล้าคิดอะไรอย่างอื่นอีกละครับ ไม่มีหรอก”
เมื่อพูดจบเขาก็หัวเราะแหะๆเพื่อตั้งใจจะกลบเกลื่อนความรู้สึก
“ไม่มีก็ดีแล้ว” จิ้นเฟิงเฉินมองเขาแล้วเดินไปนั่งที่โซฟาในห้องผู้ป่วย
จิ้นเฟิงเหรานอนอยู่บนเตียง ตาทั้งคู่ของเขาจ้องมองไปที่เพดานและครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่
จากนั้นเขาจึงหันไปพูดกับ จิ้นเฟิงเฉินว่า “พี่ครับ พี่อย่าคิดมากไป ผมไม่ได้คิดอะไรเลย”
เมื่อได้ยินดังนั้น จิ้นเฟิงเฉินก็มองไปที่เขาด้วยสายตาเยือกเย็นและถามว่า “พี่คิดมากเรื่องอะไร? แล้วแกไม่ได้คิดเรื่องอะไร?”
จิ้นเฟิงเหรา “……”
เอาเถอะ ทำเป็นว่าเขาไม่เคยพูดเรื่องนี้แล้วกัน
หลังจากนั้นในห้องก็เงียบสงัด
……
เจียงสื้อสื้อกลับมายังห้องผู้ป่วยของตัวเอง ขณะที่เธอเดินมาใกล้จะถึงห้องก็พบว่ามีชายคนหนึ่งหน้าตาคุ้นเคยยืนอยู่ด้านหน้า
สีหน้าเธอดีใจอย่างเห็นได้ชัดและรีบเดินตรงเข้าไปหาเขา
“รุ่นพี่คะ!”
ลู่เจิงนั่นเอง
เมื่อเขารู้เรื่องของเจียงสื้อสื้อก็รีบมายังโรงพยาบาล แต่คิดไม่ถึงว่าเธอไม่อยู่ในห้อง ขณะที่กำลังลังเลว่าจะกลับไปดีหรือไม่ ก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น
เขาหันหลังกลับไปมองและพบว่าเจียงสื้อสื้อเดินมาด้วยรอยยิ้ม
“รุ่นพี่มาได้ยังไงคะเนี่ย?” เจียงสื้อสื้อเดินเข้ามาทักเขา
“มาเยี่ยมเรายังไงล่ะ” ลู่เจิงพูดด้วยความเป็นห่วง “พอผมรู้เรื่องก็รีบมาเลย เป็นยังไงบ้างล่ะ?”
เจียงสื้อสื้อยิ้มแล้วตอบว่า “ฉันไม่เป็นไรค่ะ ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้เป็นห่วง”
ลู่เจิงมองดูผ้าพันแผลบนหัวเธอ เขาขมวดคิ้วและพูดว่า “แน่ใจเหรอว่าไม่เป็นอะไร สมองได้รับความกระทบกระเทือนหรือเปล่า?”
“พี่หมายถึงอันนี้เหรอ” เจียงสื้อสื้อคลำไปที่ผ้าพันแผลหัวของเธอ “ก็ได้รับความกระทบกระเทือนนิดหน่อย แต่ว่าหายแล้วค่ะ ไม่เป็นอะไร”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว ต่อไประมัดระวังหน่อยล่ะ อย่าวิ่งเล่นไปทั่ว” ลู่เจิงพูดเหมือนกับตนเป็นพ่อของเธอ
เจียงสื้อสื้ออดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “รุ่นพี่คะ ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆนะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
เมื่อรู้สึกว่าตนเองมีท่าทางตอบสนองที่ค่อนข้างชัดเจนเกินไป ลู่เจิงก็รู้สึกอายและพูดว่า “โทษที ผมก็แค่เป็นห่วงน่ะ เลยรีบร้อนไปหน่อย”
“ขอบคุณมากนะคะรุ่นพี่” เจียงสื้อสื้อขอบคุณเขาด้วยท่าทางซึ้งใจ
เนื่องจากมีความห่วงใยจากเขา เจียงสื้อสื้อเองจึงรู้สึกว่านอกจากคนในบ้านตระกูลจิ้นแล้วเธอยังมีคนอื่นที่เป็นห่วงเธออยู่