ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 385 จุดอ่อนของเธอ
บทที่ 385 จุดอ่อนของเธอ
อีกด้านหนึ่ง เจียงสื้อสื้อกำลังนั่งหมุนโทรศัพท์อยู่ในบ้านอย่างเบื่อหน่าย ช่วงนี้จิ้นเฟิงเฉินยุ่งมาก แม้ว่าเธอจะแสดงให้เห็นว่าเธอเข้าใจ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะไม่คิดเรื่องนี้เลย
เมื่อเสี่ยวเป่าเห็นท่าทางของเธอก็อดถามไม่ได้ “หม่ามี๊เป็นอะไรรึเปล่าครับ?”
เจียงสื้อสื้อรีบสลัดความคิดแล้วกระซิบพูด “หม่ามี๊สบายดีครับ แล้วลูกทำการบ้านเสร็จรึยังครับ?”
แน่นอนว่าเรื่องการบ้านนั้นย่อมไม่ได้อยู่ในบทสนทนาของเสี่ยวเป่า เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “หม่ามี๊คิดถึงแดดดี๊ใช่ไหมครับ?”
เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องน่าอาย ดังนั้นเมื่อถูกเสี่ยวเป่ามองออก เจียงสื้อสื้อ ก็ไม่ได้ปิดบังแล้วพูดตรงๆว่า “ใช่ครับ หม่ามี๊กำลังคิดว่าจะเรียกแดดดี๊กลับบ้านมากินข้าวดีรึเปล่า ช่วงนี้แดดดี๊ยุ่งมากเลย”
เสี่ยวเป่าได้ฟังก็ตอบไปตรงๆว่า “งั้นก็โทรถามสิครับ ถ้าแด๊ดดี้ยุ่งจริงๆงั้นพวกเราค่อยกินกันเองก็ได้นี่ครับ”
เจียงสื้อสื้อรู้สึกว่าที่เขาพูดมีเหตุผลอยู่ ดังนั้นเขาจึงโทรหาจิ้นเฟิงเฉิน
“ฮัลโหล เฟิงเฉินจะกลับบ้านมากินข้าวมั้ย?”
จิ้นเฟิงเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แม้ว่าใจเขาอยากจะกลับไป แต่ตอนนี้เรื่องของจิ้นเฟิงเหราก็ยังไม่คลี่คลาย เขาต้องไม่สบายใจแน่ๆ ดังนั้นจึงได้แค่พูดว่า “ฉันไม่ได้กลับไปกินแล้ว ต้องไปหาเฟิงเหรา เธอกินกับเสี่ยวเป่าเลย บอกสาวใช้ให้ทำอาหารเพิ่มสักสองสามอย่างนะ”
เจียงสื้อสื้อจึงได้แต่บอกให้เขาอย่าลืมกินข้าวแล้ววางสายไป
เสี่ยวเป่าไม่คิดว่าสุดท้ายความหวังดีของเขาจะกลับทำให้หม่ามี๊รู้สึกแย่กว่าเดิมจึงรีบปลอบว่า “ไม่เป็นไรนะครับหม่ามี๊ ผมกินเป็นเพื่อนหม่ามี๊เอง”
เมื่อได้ฟังเจียงสื้อสื้อก็ดึงเขามากอดอย่างรวดเร็วแล้วตบไหล่เขา
ความจริงเจียงสื้อสื้อไม่ได้เสียใจ แต่ใจเธอรู้สึกกังวลเท่านั้น รวมๆจะว่ากังวลถึงตัวเขาก็บอกไม่ถูก รู้สึกแค่ว่าไม่ค่อยสบายใจเท่านั้น
เนื่องจากจิ้นเฟิงเฉินไม่กลับมา สองคนแม่ลูกจึงเลือกอาหารที่ชอบกินสองสามอย่างมากิน
แม้ว่าพวกเขาจะวางแผนล่อทหารรับจ้างออกมา แต่ก็ไม่คิดว่าคืนนั้นบ้านจิ้นเฟิงเหราจะถูกโจมตีอีกครั้ง คนกลุ่มนี้โหดร้ายกว่าเมื่อ 2 วันก่อน พวกเขาเกือบจะแอบเข้าบ้านได้แล้ว
ขณะนั้นเองคนที่ซุ่มปกป้องจิ้นเฟิงเหราก็ปรากฏตัวขึ้น เมื่อเห็นกลุ่มคนตรงหน้าก็ตะคอกถามว่า “แกเป็นใคร!”
อีกฝ่ายมีอาวุธครบมือ ปิดบังใบหน้าจึงย่อมไม่รู้ว่าเป็นใคร
เมื่อคนที่ทำลายระบบรักษาความปลอดภัยต้องเผชิญหน้ากับคนจำนวนมาก ก็ชะงักไปชั่วขณะ
จริงๆคนเหล่านี้จิ้นเฟิงเฉินเป็นคนส่งมาตั้งแต่หลังจากวันที่จิ้นเฟิงเหราเกิดเรื่องก็แอบส่งคนเพิ่มมาแล้ว เมื่อรวมกับแผนครั้งนี้ที่เห้อซูหานกับป๋ายหลี่ก็ได้ส่งคนมาเช่นกัน เมื่อรวมกันแล้วจึงมีจำนวนนับไม่ถ้วน
เมื่อคนเหล่านั้นเห็นคนมากมายตรงหน้า แน่นอนว่าพวกเขาย่อมรู้ว่าการเข้าไปนั้นมันเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้แค่หนีออกไปก็ถือว่ายากมากแล้ว
แต่พวกเขาต้องหนี
ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงปะทะกัน หลังจากต่อสู้กันไปยกหนึ่ง เนื่องจากคนที่มาคุ้มกันจิ้นเฟิงเหรามีจำนวนเยอะ ดังนั้นจึงกินแรงอีกฝ่ายอย่างมาก แต่ความอึดของคนเหล่านั้นก็ทำให้ต้องประหลาดใจ คนจำนวนมากขนาดนี้เมื่อสู้กันก็ค่อนข้างเปลืองแรง
สุดท้ายอีกฝ่ายก็แทบจะใช้แรงทั้งหมดถึงจะถอยออกมาได้
หากเล่นละครต้องทำแบบจัดเต็ม หากทำไม่เหมือนก็ยากที่จะทำให้คนเชื่อได้ ป๋ายหลี่ย่อมเข้าใจเหตุผลนี้ดี
การที่ตั๊กแตนจับจักจั่น แน่นอนต้องมีนกขมิ้นอยู่เบื้องหลัง
ทหารรับจ้างสองคนเฝ้าดูเหตุการณ์ทั้งหมดในความมืดจึงไม่ได้มีสัญญาณว่าจะออกมาชั่วคราว
ทหารรับจ้างฝ่ายชายกำลังตรวจสอบอะไรบางอย่างในเวลานี้ ทั้งคู่จึงซ่อนตัวอยู่ในความมืดเช่นนั้นเพื่อสังเกตทุกการเคลื่อนไหวในบ้าน
“ระบบรักษาความปลอดภัยนี่มีช่องโหว่” ทหารรับจ้างชายพูดอย่างไร้ความรู้สึก
ทหารรับจ้างหญิงจึงรีบพูดว่า “ใช้โอกาสตอนที่ช่องโหว่ยังไม่ได้ซ่อมเนี่ยแหละ นี่เป็นเวลาที่ดีที่สุดในการบุกของเรา”
ทั้งสองตัดสินใจบุกเข้าไปในระบบอย่างเด็ดเดี่ยว พวกเขาเตรียมพร้อม
ขณะเดียวกัน ณ ห้องทำงานของประธานจิ้นกรุ๊ป
จิ้นเฟิงเฉินจ้องคอมพิวเตอร์ตรงหน้า ที่จอปรากฏข้อมูลระบบรักษาความปลอดภัยในบ้านของจิ้นเฟิงเหรา พอเกิดช่องโหว่ในระบบรักษาความปลอดภัย เขาก็รอคอยแล้ว เป็นไปตามคาด มีคนบุกเข้ามาในระบบรักษาความปลอดภัย
แม้ว่าวันนี้เขาจะไม่ได้ไปบ้านจิ้นเฟิงเหรา แต่สำหรับความปลอดภัยของจิ้นเฟิงเหราแล้วเขากลับติดตามอยู่เสมอ เพราะกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับจิ้นเฟิงเหรา ดังนั้นเขาจึงนั่งอยู่ในห้องทำงานเพื่อเคลียร์งานบริษัทไปด้วยและดูความเคลื่อนไหวในบ้านจิ้นเฟิงเหราไปด้วย
เมื่อทันทีที่มีคนเข้ามาเขาก็จะรู้ทันที แต่เขาไม่ได้เข้าไปหยุด ตรงกันข้าม ในขณะที่กำลังซ่อมเขาจงใจสร้างช่องโหว่เพื่อให้อีกฝ่ายเข้ามาได้
นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่ตัวจิ้นเฟิงเหราเองก็ใช้เวลานานในการทำเรื่องนี้
พอเขาทำทุกอย่างเสร็จก็ปาไปเช้ามืดแล้ว
เรื่องมากมายกดดันเขาจนแทบหายใจไม่ออก โดยเฉพาะเมื่อมีคนที่มาคอยจับตามองบ้านของคนในบ้านเขาไม่ปล่อย มันทำให้รู้สึกหงุดหงิด
หากทุกอย่างพุ่งมาที่ตัวเองก็ไม่ใช่ปัญหา แต่คนเหล่านั้นไม่เว้นแม้กระทั่งครอบครัวเขา ซึ่งมันทำให้เขาเกิดจะรับมือไหว
นั่นคือจุดอ่อนของเขา ไม่มีใครสามารถแตะต้องได้
เขาคลึงไหล่ที่รู้สึกเมื่อย มองไปที่แสงจันทร์นอกหน้าต่าง ถึงรู้สึกว่าตัวเขาเหนื่อยแล้ว
แต่ถ้ากลับไปตอนนี้ คงทำให้เจียงสื้อสื้อตื่นขึ้นมาอย่างแน่นอน หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จิ้นเฟิงเฉินก็ตัดสินใจนอนที่ห้องทำงาน
เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อจื่อเฟิงมาที่ห้องทำงานของจิ้นเฟิงเฉินแล้วเห็นเขานอนหลับอยู่บนเตียงเล็กในห้องทำงาน
เดิมทีเธออยากจะห่มผ้านวมไปให้เขา แต่เธอรู้ว่าเขาไม่นอนหลับง่าย จึงได้แต่ยืนมองที่หน้าประตูแล้วจากไป
แม้เป็นห่วงก็ไม่มีเหตุผล พูดแล้วมันก็เศร้า
ทางด้านส้งหวั่นชีงที่เห็นว่าบ้านจิ้นเฟิงเหราไม่มีแม้เงาของเขาก็ตะลึงไปชั่วขณะ
หาได้ยากมากที่เขาจะไม่ได้อยู่บ้าน ไม่น่าเชื่อเลย
เธอโทรหาจิ้นเฟิงเหราแล้วถามว่า “ทำไมนายไม่อยู่บ้านล่ะ?”
จิ้นเฟิงเหราไม่คิดว่าส้งหวั่นชีงจะไปอยู่จึงขมวดคิ้วทันทีแล้วพูดว่า “เธอไปที่นั่นได้ไง ช่วงนี้ฉันอยู่บ้าน เธออย่าไปที่นั่น”
เมื่อได้ฟังจิ้นเฟิงเหราพูดเช่นนี้อย่างไม่มีที่มาที่ไป ส้งหวั่นชีงก็ไม่ค่อยสบายใจ “ทำไมนายทำอย่างงี้ล่ะ? ตอนแรกฉันมาสายนายยังว่าฉันเลย แต่ตอนนี้ทำไมถึงพูดแบบนี้”
ส้งหวั่นชีงพูดในใจว่านายเป็นคนให้ฉันมาชัดๆแล้วตอนนี้ยังมีหน้ามาบอกว่าเธอไม่ควรมา
จิ้นเฟิงเหราไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เดาว่าเธอคงลืมสิ่งที่พูดเมื่อวานนี้ไปแล้ว ความจริงเขาเริ่มทนไม่ไหวแต่เพราะช่วงนี้มีเรื่องเยอะมาก แถมตอนนี้ตัวเองยังเป็นคนที่ปกปิดตัวตนอยู่ แน่นอนว่าไม่สามารถลากส้งหวั่นชีงลงน้ำได้ ดังนั้นจึงได้แต่พูดว่า “เธอกลับไปก่อน ช่วงนี้อย่ามาอีก รอให้ช่วงนี้ผ่านไปแล้วฉันจะบอกรายละเอียดกับเธอ”
แม้ว่าส้งหวั่นชีงจะไม่เข้าใจว่าทำไม แต่การทำแบบนี้ก็เสียเวลาเปล่า ดังนั้นเธอจึงวางสายแล้วตรงกลับไป