ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 386 ต่างฝ่ายต่างรังเกียจกัน
บทที่ 386 ต่างฝ่ายต่างรังเกียจกัน
จิ้นเฟิงเหรามองประวัติการโทรแล้วเม้มปากอย่างจนใจ ในใจเขายังรู้สึกกังวล แต่พอมาคิดดูอีกที เธอก็เป็นแค่พยาบาลคนหนึ่งเท่านั้น คนพวกนั้นคงจะไม่จับตามองเธอหรอก ดังนั้นเขาจึงเลิกคิดเรื่องนี้
ขณะเดียวกันนั้นเอง เจียงสื้อสื้อก็นั่งเหม่อบนโต๊ะอาหาร
เมื่อคืนจิ้นเฟิงเฉินไม่ได้กลับมาทั้งคืน เธอจึงรู้สึกเป็นห่วงมากจนไม่ได้นอนดีทั้งคืน พอวันนี้ตอนเช้าตื่นขึ้นมาไม่เจอเขา ความกังวลในใจก็เพิ่มขึ้นมาอีก
เสี่ยวเป่ามองเธอแล้วรีบพูดว่า “หม่ามี๊ครับ ถ้าหม่ามี๊คิดถึงแดดดี๊ก็ไม่ต้องกินข้าวเช้าเป็นเพื่อนผมก็ได้นะครับ”
ความจริงใจของเจียงสื้อสื้อลอยไปที่บริษัทตั้งนานแล้ว พอได้ยินเสี่ยวเป่าพูดอย่างรู้ความ เธอก็ห้ามใจตัวเองไม่ไหวอีกต่อไป เธอรีบเก็บของแล้วหยิบอาหารเช้าไปให้ไปให้จิ้นเฟิงเฉิน จากนั้นก็ตรงไปที่บริษัท
เพราะยังเช้าอยู่ ดังนั้นที่บริษัทจึงไม่ค่อยมีคน เจียงสื้อสื้อเดินบนทางเดินที่โล่งด้วยใจตุ้มๆต่อมๆ
คงจะไม่เกิดเรื่องอะไรใช่มั้ย?
แต่ทว่าตลอดทางที่เธอเดินไปถึงประตูห้องทำงานประธานก็ปลอดภัยดี
เธอผลักประตูเบาๆ สิ่งที่เธอเห็นกลับเป็นจิ้นเฟิงเฉินที่กำลังนอนหลับปุ๋ยบนเตียงเล็กๆในห้องทำงาน ขนตายาวของเขาปิดลงทำให้ใบหน้าเขาดูหล่อเหลาสุดๆ มือของเขาวางอยู่บนผ้าห่มอย่างกระวนกระวาย แต่กลับหลับอย่างสนิทมาก
เจียงสื้อสื้อใจเต้นไม่คิดว่าเขาจะหลับไปแบบนี้ แถมในสถานการณ์ที่เลวร้ายแบบนี้ เขายังหลับสนิทดี เดาว่าช่วงนี้เขาคงจะเหนื่อยมากๆสินะ
เธอค่อยๆเดินเข้าไปแล้วห่มผ้าให้เขา จากนั้นก็นั่งลงข้างๆมองเขา
บางทีอาจเป็นเพราะรู้สึกถึงการอยู่ของเจียงสื้อสื้อได้ จิ้นเฟิงเฉินค่อยๆลืมตาขึ้นมา
เมื่อเห็นเจียงสื้อสื้ออยู่ตรงหน้า ตาเขาก็สว่างทันที “สื้อสื้อ เธอมาถึงตั้งแต่เมื่อไร?”
เมื่อเห็นเขาตื่น เจียงสื้อสื้อก็หยิบกล่องรักษาความร้อนมาเปิดออกแล้วหยิบอาหารข้างในออกมาทีละอย่างๆ แล้วพูดว่า “เพิ่งมาได้ไม่นานเอง เห็นนายหลับสนิทอยู่ก็เลยไม่ได้ปลุก”
จิ้นเฟิงเฉินมองอาหารที่เธอนำมา แต่กลับไม่รู้สึกอยากอาหารจึงพูดออกไปว่า “ตอนนี้ฉันไม่อยากกินอะไร”
เจียงสื้อสื้ออึ้ง “งั้นนายอยากกินอะไร?”
“อยากกินเธอ”
พูดจบก็พุ่งเข้าไปจูบ
จิ้นเฟิงเฉินอาศัยจังหวะกอดเจียงสื้อสื้อแล้วพะเน้าพะนอจนเธอหูแดง
เมื่อเห็นเธอหน้าแดงด้วยความเขิน จิ้นเฟิงเฉินก็ยิ่งตกหลุมรัก พอคิดได้ว่าตัวเองทำให้เธอต้องเป็นห่วงจึงรีบขอโทษเธอ “ขอโทษนะสื้อสื้อ ช่วงนี้มีเรื่องเกิดขึ้นเยอะมาก ฉันไม่มีเวลาอยู่กับเธอเลย เธอไม่ต้องห่วงนะ ถ้าผ่านช่วงนี้ไปฉันจะอยู่กับเธอเยอะๆเลย”
จริงๆแล้วทำไมเขาจะไม่อยากอยู่กับเธอ แต่ว่าช่วงนี้เรื่องต่างๆมันเยอะมากจริงๆ สตีเฟนเหมือนเสือที่จ้องตะครุบเหยื่อ เขาจะหละหลวมไม่ได้จริงๆ
สำหรับเรื่องนี้เจียงสื้อสื้อไม่ได้ติดใจอะไร สิ่งที่เกิดขึ้นช่วงนี้กับบริษัทเธอพอได้ยินมาบ้าง ดังนั้นเธอจึงเข้าใจ เพียงแต่เธอเป็นห่วงสุขภาพของจิ้นเฟิงเฉินเท่านั้น
เธอเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เฟิงเฉิน ความจริงที่นายยุ่งฉันก็เข้าใจนะ แต่นายรับปากกับฉันได้มั้ยว่าจะต้องดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี อย่างพวกเรื่องนอนในห้องทำงานแบบนี้ ต่อไปนี้ไม่ทำอีกได้มั้ย?”
ยังไงซะเธอก็เป็นห่วงตัวเขา จิ้นเฟิงเฉินไม่อยากให้เธอมานั่งเป็นห่วงเขาทุกวันจึงโอบเธอแล้วกระซิบข้างหูว่า “ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง”
ตอนนั้นเองมีคนมาเคาะประตู แล้วก็มีเสียงป๋ายหลี่ดังขึ้นเบาๆว่า “คุณชายครับ ผมเข้าไปได้มั้ยครับ?”
เจียงสื้อสื้อรู้ดีว่าการที่จู่ๆป๋ายหลี่พรวดพราดเข้ามานั้นจะต้องเป็นเรื่องสำคัญมากแน่ๆจึงรีบพูดว่า “งั้นนายทำงานต่อเถอะ ฉันขอตัวก่อนนะ”
พอจิ้นเฟิงเฉินพยักหน้า เจียงสื้อสื้อก็ออกไป
ป๋ายหลี่ถึงจะเข้ามาโดยมีจื่อเฟิงตามเข้ามาด้วย
ป๋ายหลี่พูดขึ้นว่า “คุณชายครับ แผนการจะเริ่มในวันนี้แล้วครับ ทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว”
จิ้นเฟิงเฉินพยักหน้าแล้วพูดว่า “ลำบากพวกนายแย่”
จากนั้นก็พูดต่อว่า “คืนนี้ฉันก็จะไป”
สำหรับการทำงานของป๋ายหลี่ จิ้นเฟิงเฉินไม่ได้ติดอะไรอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้มันอันตรายมาก ปัจจัยที่ยังไม่รู้ก็มีมาก เขากลัวว่าจะควบคุมสถานการณ์ไว้ไม่ได้ ถึงได้พูดว่าตัวเองก็จะไป
ไม่คิดเลยว่าตอนนั้นเองจื่อเฟิงที่เงียบมาตลอดรีบพูดขึ้นมาว่า “ถ้าคุณชายไป พาฉันไปด้วยได้มั้ยคะ ฉันไม่ค่อยสบายใจ”
จิ้นเฟิงเฉินปฏิเสธแบบไม่คิด
จื่อเฟิงอึ้งอยู่อย่างงั้นไม่รู้ว่าจะพูดอะไรไปชั่วขณะ แต่ป๋ายหลี่รีบพูดขึ้นมาว่า “คุณชายครับ งานครั้งนี้เราจะจัดการมันออกมาให้ดี ท่านมั่นใจได้”
ได้ฟังเช่นนั้นจิ้นเฟิงเฉินก็ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “จิ้นเฟิงเหราเป็นน้องชายฉัน ฉันไม่สามารถให้เขาตกอยู่ในอันตรายได้ พวกนายไม่จำเป็นต้องมาเกลี้ยกล่อมฉัน”
วันนี้เขาตัดสินใจไปแล้ว
นิสัยของจิ้นเฟิงเฉินป๋ายหลี่กับจื่อเฟิงต่างรู้ดี หากเขาตัดสินใจแล้วก็จะไม่เปลี่ยนใจ ดังนั้นพวกเขาจึงสบตากันครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจล้มเลิกความตั้งใจ
คืนนั้นพอเลิกงาน จิ้นเฟิงเฉินก็เรียกจื่อเฟิงไปที่ห้องทำงาน เดิมจื่อเฟิงนึกว่าจิ้นเฟิงเฉินจะเปลี่ยนใจ ดังนั้นจึงเข้าไปอย่างดีใจ
ใครจะคิดว่าหลังจากนั้นจิ้นเฟิงเฉินจะพูดเพียงว่า “วันนี้เรื่องเยอะมาก เกรงว่าคนเหล่านั้นจะรู้สึกได้ ดังนั้นเธอไปส่งสื้อสื้อกลับบ้านช้ากว่ากำหนดนะ จะต้องรักษาความปลอดภัยของเธอให้ดี”
เดิมจื่อเฟิงคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ได้แต่อ้าปากไม่พูดอะไร
ยังไงซะคำสั่งของจิ้นเฟิงเฉินนั้นเป็นสิ่งที่เธอเชื่อฟังมาโดยตลอด พอออกมาจากห้องทำงานของประธาน เธอก็ตรงไปที่แผนกที่เจียงสื้อสื้ออยู่
เมื่อเห็นจู่ๆจื่อเฟิงโผล่พรวดเข้ามา เจียงสื้อสื้อก็อึ้งไปชั่วขณะแล้วพูดว่า “ทำไมจู่ๆเธอถึงมาล่ะ?”
จื่อเฟิงตอบอย่างเย็นชาด้วยท่าทีเหมือนฉันไม่ได้อยากมาว่า “คุณชายให้ฉันไปส่งเธอกลับบ้าน เธอรีบเก็บของเถอะ”
เจียงสื้อสื้อจนใจ ถ้าจะทำท่าทางแบบนี้ไม่ไปส่งดีกว่ามั้ย แต่ยังไงมันก็เป็นความต้องการของจิ้นเฟิงเฉิน เธอจึงไม่ว่าอะไร
จื่อเฟิงทำหน้ามู่ทู่ตลอดทางราวกับเจียงสื้อสื้อไปติดเงินเธอมาแปดล้านยังไงยังงั้น
เจียงสื้อสื้อก็ไม่ได้พูดอะไร เธอทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็น สนใจในสิ่งที่ตัวเองทำ
พอกว่าจะถึงบ้าน จื่อเฟิงก็พูดสะบัดไปว่า “คืนนี้ถ้าไม่มีอะไรก็ไม่ต้องออกบ้าน ตัวเองมีความอดทนจำกัด ควรมีจิตสำนึก อย่าทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อน ฉันยังมีงานต้องออกไปทำ”
เจียงสื้อสื้อได้ฟังเธอพูดด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ก็ไม่พอใจ บวกกับประโยคนี้ค่อนข้างทำร้ายจิตใจมาก จึงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เชิญตามสบาย ถ้าไม่เติมใจจะอยู่กับฉัน ฉันจะกลับไปบอกจิ้นเฟิงเฉิน”
เธอไม่ชอบท่าทางหยิ่งผยองของจื่อเฟิงที่ทำตัวเหมือนกับว่าโลกทั้งโลกต้องหมุนตามเธอ ห้ามเป็นศัตรูของเธอยังไงยังงั้น
ยิ่งไปกว่านั้นตนไม่จำเป็นต้องคิดบัญชีกับนิสัยของเธอ
ไม่คิดเลยว่าจื่อเฟิงจะพูดแบบนี้ต่อ “เธอเลิกไปฟ้องคุณชายซะบ้างเถอะ”
ท่าทางแบบนี้ของเธอทำเอาเจียงสื้อสื้อขบขันแล้วพูดไปว่า “ฉันก็แค่พูดความจริงเท่านั้น” พูดจบเธอก็เดินจากไปโดยไม่สนใจ