ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 404 ตามหลอกหลอน
บทที่ 404 ตามหลอกหลอน
วันเวลาได้ผ่านไปเร็วมาก แป๊บเดียววันแต่งงานระหว่างตระกูลหลานหลินก็ได้มาถึง
ช่วงดึกของวันนั้น จิ้นเฟิงเฉินได้เลิกงานเร็วเป็นพิเศษ พูดไปที่ห้องทำงานที่เจียงสื้อสื้อยังดูเอกสารอยู่ว่า “สื้อสื้อ กลับได้แล้วครับ”
เจียงสื้อสื้อได้วางเอกสารลง ได้ลืมเรื่องที่ต้องไปร่วมงานแต่งแล้วเรียบร้อย อึ้งนิ่งแล้วถามออกไปว่า “วันนี้เป็นวันอะไรเหรอคะ? ทำไมเลิกงานเช้าขนาดนี้”
เห็นหน้าตาที่มึนงงของเธอนั้น จิ้นเฟิงเฉินก็รู้สึกว่ามันน่ารักจริงๆ ก็อดไม่ได้เลยหอมแก้มเธอไปหนึ่งที จากนั้นก็พูดว่า “วันนี้เป็นวันแต่งงานระหว่างตระกูลหลานหลินสองตระกูลนี้ คุณนั้นต้องไปร่วมงานแต่งกับผมนะ”
เจียงสื้อสื้อถึงได้นึกออก ก็ได้พูดออกไปอย่างเขินๆ ว่า “ฉันลืมไปเลยค่ะ”
จิ้นเฟิงเฉินยิ้ม “งั้นก็รีบเก็บข้าวของเถอะครับ พวกเรากลับไปเปลี่ยนชุดที่บ้าน”
พอทั้งสองกลับบ้าน จิ้นเฟิงเฉินก็ได้พูดกับสาวใช้ข้างๆ ว่า “ไปเอาชุดที่วันนี้กู้เนี่ยนส่งมามา พาคุณหญิงขึ้นไปเปลี่ยนชุด”
เจียงสื้อสื้อมองเขาตาเป็นประกาย พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “อันนี้คุณก็เตรียมไว้ให้หมดแล้วเหรอ เมื่อกี้ระหว่างทางฉันยังคิดอยู่ว่าจะใส่อะไรไปดี”
คนที่ใส่ใจจริงๆ ก็คือไม่ว่าเธอต้องการอะไร ก็เตรียมให้หมดแล้ว
เจียงสื้อสื้อรู้สึกว่า คนอย่างจิ้นเฟิงเฉินนั้น เป็นคนที่เธอต้องการมากที่สุด
เจียงสื้อสื้อเดินตามสาวใช้ขึ้นไปเปลี่ยนชุด จากนั้นก็เรียกให้สาวใช้นั้นแต่งหน้าให้เธอ วันนี้เธอนั้นเหนื่อยมากจริงๆ ไม่อยากที่จะแต่งหน้าเอง
รอจนสาวใช้ได้เอาส้นสูงมาให้เธอนั้น เธอใส่ส้นสูงเสร็จ ก็ได้แปลงโฉมเสร็จเรียบร้อย
เห็นเธอที่อยู่ให้ชุดกระโปรงยาวลากพื้นสีฟ้าอ่อน แล้วก็สวมส้นสูงที่มีคริสตัสประดับอยู่นั้น ก็ได้แสดงสัดส่วนของเธอออกมาได้อย่างงดงามพอดี
จิ้นเฟิงเฉินมองเธอที่เดินลงมาจากชั้นบน ใจก็สั่นอย่างห้ามไม่อยู่ รอเธอเดินมาถึงข้างกายนั้น ก็ได้กระซิบข้างหูเธอเบาๆ ว่า “สื้อสื้อ คุณสวยจริงๆ”
เจียงสื้อสื้อถูกเขาชมจนรู้สึกเขินอาย แกล้งดุออกไปว่า “รีบไปเถอะ เดี๋ยวจะไปสายเอา”
ทั้งสองได้ควงแขนกันเดินไปที่รถ จิ้นเฟิงเฉินได้เปิดประตูรถให้เธอ ตัวเองก็ได้เดินอ้อมรถไป ขึ้นรถอีกฝั่ง
มาถึงสถานที่จัดงาน เห็นสถานที่งานที่หรูหราแล้วก็ไม่น่าเบื่อ ได้แสดงออกถึงฐานะของทั้งสองตระกูล แล้วก็ได้แสดงให้เห็นถึงความงดงานที่ทั้งสองตระกูลมองนั้นไม่โบราณ ทำให้คนนั้นรู้สึกผ่อนคลาย
เจียงสื้อสื้อมองประตูกุหลาบสีชมพูที่อยู่ข้างหน้านั้น ก็ได้พูดเบาๆ ว่า “การตกแต่งของสถานที่จัดงานนั้นก็ถือว่าโอเค ถือว่ามีความรู้สึกอยู่”
จิ้นเฟิงเฉินรีบไปกระซิบที่ข้างหูเธอว่า “คุณวางใจได้เลย ต่อไปงานแต่งของพวกเรา ต้องใหญ่และอลังการกว่านี้แน่”
ท่าทางที่จริงจังของเขานั้น ก็ทำให้เจียงสื้อสื้อนั้นอบอุ่นในใจ เขานั้นเป็นคนที่พูดจริงทำจริง ไหนๆ ก็พูดออกมาแล้ว เธอเชื่อว่าเขานั้นต้องทำได้แน่
แต่ว่า เจียงสื้อสื้อกลับส่ายหน้า “เทียบกับงานแต่งแล้ว ฉันแคร์คุณมากกว่า”
เธอนั้นไม่แคร์ว่างานแต่งนั้นจะเป็นยังไง ขอแค่ผู้ชายตรงหน้านั้น ในสายตามีแต่เธอ ยอมที่จะเอาสิ่งที่ดีที่สุดให้เธอ ก็เพียงพอแล้ว
จิ้นเฟิงเฉินได้บีบมือเธอแน่นอย่างอดไม่ได้ “เด็กโง่”
ทั้งสองได้ควงแขนกันเข้าไปในงาน พึ่งเข้าไป พ่อแม่ของเจ้าสาวก็ได้รีบเข้ามาต้อนรับทันที “ประธานจิ้น คุณหญิงจิ้น การที่พวกคุณทั้งสองมานั้น เป็นบุญของลูกสาวจริงๆ”
จิ้นเฟิงเฉินพยักหน้า จากนั้นก็ได้เอาของขวัญมอบให้แล้วพูดว่า “ยินดีกับประธานหลินคุณหญิงหลินด้วย ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ขอให้พวกคุณรับไว้”
สามีภรรยาตระกูลหลินนั้นรีบรับไว้ทันที แล้วก็พูดขอบคุณยกใหญ่
ได้ยินคำว่าประธานจิ้นกับคุณหญิงจิ้น ทุกคนก็ได้เข้าใจทันทีว่าสามีภรรยาจิ้นเฟิงเฉินได้มา เพราะว่าจิ้นเฟิงเหรานั้นไม่มีแฟน ต่อให้มาก็ไม่ได้ถูกเรียกแบบนั้น
เวลานี้ คนที่คอยมองจิ้นเฟิงเฉินนั้น อยากจะร่วมงานกับจิ้นเฟิงเฉินนั้น ก็ได้เข้ามาทักทายกันหมด พอเห็นเจียงสื้อสื้อ ก็ได้เรียกว่า “คุณหญิงจิ้น” อย่างมีมารยาท
รอพวกเขารับมือกับคนพวกนี้หมด เวลาก็ผ่านไปสิบนาทีแล้ว เวลานี้เจียงสื้อสื้อถึงได้เข้าใจว่า ปกติที่จิ้นเฟิงเฉินไปร่วมงานสังคมนั้นมันเหนื่อยขนาดไหน
เพราะว่าในความคิดของเธอนั้น การที่จะจดจำคนพวกนี้ได้ก็ไม่ใช่ง่ายๆ แล้ว ยังต้องไปทักทายทีล่ะคนอีก ยุ่งยากเกินไปจริงๆ
เจียงสื้อสื้อค่อยๆ เข้าไปกระซิบข้างหูของจิ้นเฟิงเฉินแล้วพูดว่า “คุณจำคนพวกนี้ได้ยังไงอ่ะ?”
จิ้นเฟิงเฉินเลิกคิ้ว แล้วก็ได้กระซิบข้างหูเธอว่า “เพราะว่าผมนั้นฉลาด”
ถึงแม้ว่าที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง แต่ว่าเจียงสื้อสื้อรู้สึกว่า ช่วงนี้เขายิ่งอยู่ก็ยิ่งหน้าด้านขึ้นแล้ว เมื่อก่อนเขาเป็นคนที่หยิ่งแท้ๆ ทำไมอยู่ดีๆ ก็ยิ่งอยู่ยิ่งหน้าไม่อายขนาดนี้
เห็นเจียงสื้อสื้อที่เบะปากแล้วก็มีใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์นั้น จิ้นเฟิงเฉินก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา มุมปากนั้นก็เหมือนว่าได้ยิ้มออกมา
รอยยิ้มนี้ก็ได้ถูกคนข้างๆ เห็นเข้า ตกใจแล้วพูดออกมาว่า “คุณพระช่วย ฉันไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม ประธานจิ้นนั้นยิ้มออกมา”
คนข้างๆ ก็ได้พูดออกมาด้วยความตกใจ แล้วก็สงสัยในตัวของเจียงสื้อสื้อ ต้องเป็นคนแบบไหนกันแน่ ถึงได้ทำให้คนที่เย็นชาอย่างจิ้นเฟิงเฉินนั้น ได้ยิ้มออกมาแบบนี้
เจียงสื้อสื้อเห็นท่าทางของพวกเรา ก็รู้สึกว่าตลกอย่างห้ามไม่อยู่ เป็นเพราะว่าเธอนั้นเห็นท่าทางแบบนี้ของจิ้นเฟิงเฉินจนชินแล้ว ถูกพวกเขาพูดแบบนี้ ถึงได้รู้สึกว่าตัวนั้นไม่เหมือนคนอื่น
ในที่ไม่ใกล้ หลานซือเฉินกับพ่อแม่ของเขา ก็สังเกตเห็นทางนี้ มองจิ้นเฟิงเฉินกับเจียงสื้อสื้อทั้งสองคนที่แย่งจุดสนใจที่เดิมทีนั้นเป็นของหลานซือเฉิน ก็ไม่พอใจขึ้นมา
ได้ยินพ่อหลานพูดขึ้นด้วยความดูถูกว่า “คิดไม่ถึงจริงๆ ประธานจิ้นนั้นจะอยู่กับเธอ”
หลานซือเฉินนั้นไม่ได้ยินที่พ่อของเขาพูด เพราะเวลานี้เขานั้น ได้จ้องมองเจียงสื้อสื้อจนใจลอย
เดิมทีก็รู้สึกว่าเจียงสื้อสื้อนั้นสวย พอมาเห็นวันนี้แล้ว ก็เป็นอะไรที่สวยจนบรรยายออกมาไม่ได้ พอนึกถึงอดีตที่ได้อยู่กับเจียงสื้อสื้อ เขาก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
แต่น่าเสียดาย สุดท้ายแล้วก็เอาเธอมาไม่ได้ เลยทำให้จิ้นเฟิงเฉินได้คว้าเอาไป
พอคิดแบบนี้ ก็ได้ไปมองหลินซิเหยา ที่ได้พูดคุยกับพ่อหลินข้างๆ นั้น ในใจก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย หลินซิเหยา ถึงแม้จะสวย แต่ถ้าเทียบกับเจียงสื้อสื้อแล้ว ห่างกันเยอะมาก
พอเห็นหลานซือเฉินที่จ้องมองมาทางนี้ ใบหน้าของจิ้นเฟิงเฉินก็ได้เริ่มไม่พอใจขึ้นมา คิดไม่ถึงจริงๆ ไอ้เดรัจฉานนั้นยังจ้องสื้อสื้อไม่หยุด
พอเห็นเขาก็ได้โอบเอวของเจียงสื้อสื้อ พาเธอเดินไปที่อื่น
เจียงสื้อสื้อก็ได้ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เฟิงเฉิน คุณจะพาฉันไปไหน?”
จิ้นเฟิงเฉินพูดออกไปด้วยความหึง “มีคนมองคุณ จ้องมองไม่หยุด ทำให้คนอยากจะต่อยเขา”
เห็นท่าทางหึงของเขา เจียงสื้อสื้อก็อดขำไม่ได้ “อากาศวันนี้รู้สึกว่าเปรี้ยวพอสมควร”
การกระทำของจิ้นเฟิงเฉินนั้น ก็ทำให้หลานซือเฉินรู้สึกตัว เขานั้นได้ปรับสีหน้าของตัวเอง แล้วก็กลับไปมีสีหน้าที่จริงจัง
เป็นเวลานี้ ที่พิธีกรนั้นได้ประกาศว่างานแต่งได้เริ่มขึ้น
“วันนี้ เป็นวันมงคล ตระกูลหลานกับตระกูลหลิน ในวันมงคลแบบนี้ ก็จะได้เป็นครอบครัวเดียวกัน ให้พวกเรานั้นแสดงความยินดีกับทั้งสองตระกูลด้วย”
พึ่งพูดจบเสียงปรบมือก็ได้ดังขึ้นในงาน
เจียงสื้อสื้อมองพิธีกรที่ได้ออกแรงพูดนั้น ก็อดที่จะพูดไม่ได้ “ฉันรู้สึกว่างานแต่งนี้ นอกจากเจ้าบ่าวเจ้าสาวแล้ว คนที่เหนื่อยที่สุดก็น่าจะเป็นพิธีกรแล้ว”
จิ้นเฟิงเฉินยิ้ม “เขาไม่ได้คิดแบบนั้น”