ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 412 แววตาคลุมเครือ
บทที่ 412 แววตาคลุมเครือ
หลังก้าวออกจากสำนักกิจการพลเรือน จิ้นเฟิงเฉินมองดูรูปถ่ายในสมุดแล้วยิ้มขึ้นเหมือนเด็กๆ
เจียงสื้อสื้ออดไม่ได้ที่จะหยิกเขา
“ คุณคะ หัวเราะอะไรกัน!”
จิ้นเฟิงเฉินกอดเจียงสื้อสื้อทันทีเมื่อได้ยินคำนั้นและพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ฉันมีภรรยาแล้ว ในที่สุดผมก็ได้แต่งงานแล้ว!”
สีหน้าอันมีความสุขของเขาทำให้เจียงสื้อสื้ออารมณ์ดีขึ้นด้วย และอดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วกอดคอเขาแน่น
ใครจะไปคิดว่าท่านประธานจิ้นผู้ซึ่งควบคุมเศรษฐกิจของเมือง จะหัวเราะออกมาเหมือนเด็กๆแบบนี้
สักพักเขาก็ปล่อยเจียงสื้อสื้อลง เธอมองไปยังเฟิงเฉินและพูดว่า “เฟิงเฉินคะ เราควรรีบแจ้งข่าวนี้ให้กับครอบครัวคุณทราบด้วยนะคะ”
“ครับ ตามที่คุณภรรยารับสั่งเลยครับ!”จิ้นเฟิงเฉินวางหัวของเขาบนไหล่ของเธอและตอบกลับอย่างมีความสุข
ในเวลานี้โทรศัพท์มือถือของจิ้นเฟิงเฉินก็ดังขึ้น เมื่อเขาเหลือบมองไปที่ชื่อนั้น จิ้นเฟิงเฉินก็กดปุ่มแฮนด์ฟรีเพื่อรับสาย
ทันทีที่เขารับสายจิ้นเฟิงเหราก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “พี่ครับ! พี่สะใภ้ครับ!พวกคุณจดทะเบียนแล้วใช่ไหม!ยินดีด้วยนะครับ ในที่สุดพี่ชายของผมก็คิดได้สักทีนะ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา จิ้นเฟิงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะรำคาญ
“นี่แก กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ ตอนนี้ฉันมีพี่สะใภ้แกคุ้มครองนะ ระวังคำพูดหน่อย!”
จิ้นเฟิงเหราไม่เคยได้ยินพี่ชายของตนพูดอย่างนี้มาก่อน เขารู้สึกประหลาดใจมาก “ว้าว!!!พี่สะใภ้ครับ คุณเปลี่ยนพี่ชายของผมได้ไปมากขนาดนี้เลย?เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยนะครับ”
เจียงสื้อสื้อพูดอย่างขบขันว่า “พี่ชายของคุณเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร พวกคุณไม่รู้เหรอ?”
“ภรรยาของผมทำให้ผมเป็นแบบนี้”
จิ้นเฟิงเหรารู้สึกสะอิดสะเอียนเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงหวานแหววของทั้งสองทางโทรศัพท์ เขาพูดอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “พวกคุณทั้งสองคนมีแต่กันและกันในสายตา ไม่เห็นน้องคนนี้ในสายตาแล้ว ผมไม่คุยด้วยแล้ว”
หลังจากพูดจบเขาก็วางสายลง ทันใดนั้นส้งหวั่นชีงเดินเข้ามาพร้อมกับรถเข็นยา
“เกิดอะไรขึ้นคะ?”
“หึๆ ก็พี่ชายกับพี่สะใภ้ผมน่ะสิ หวานแหววไม่เห็นแก่ความรู้สึกคนโสดอย่างผมเลย ตอนนี้สองคนไปจดทะเบียนสมรสแล้วด้วย!”
จิ้นเฟิงเหราที่วางสายไปไม่พอใจ เขารู้สึกเหมือนเด็กน้อยถูกทอดทิ้ง
เมื่อเห็นเขามีท่าทางแบบนี้ ส้งหวั่นชีงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดว่า “การที่ทั้งสองคนจดทะเบียนสมรสก็ไม่ได้แปลกอะไรนี่คะ ทำไมคุณถึงต้องโมโหด้วย มาทำแผลเถอะค่ะ!”
จิ้นเฟิงเหรานอนลงบนเตียงอย่างว่าง่าย ส้งหวั่นชีงค่อยๆแกะสะเก็ดแผลออกแล้วจึงทาครีมให้เขา
หลังจากรักษาอยู่หลายวัน ในที่สุดหลังของเขาก็ดีขึ้นมาก
ส้งหวั่นชีงทายาให้จิ้นเฟิงเหราและพูดขึ้นว่า “บอกตรงๆนะคะ ฉันอิจฉาพี่สื้อสื้อจังที่ได้พบกับผู้ชายอย่างพี่ชายของคุณ ซึ่งต่างจากคนที่ฉันเจอ ทั้งขี้ขลาดทั้งไร้ความสามารถ”
“นี่คุณ สิ่งที่คุณพูดไม่ถูกนะครับ ผมก็เป็นคนดีไม่ใช่เหรอ?” จิ้นเฟิงเหราไม่พอใจ
ส้งหวั่นชีงเมื่อได้ยินเขาพูดดังนั้นก็ตอบกลับไปว่า “ฉันกำลังพูดถึงแฟนของฉัน! คุณเกี่ยวอะไรด้วยคะ!”
“เบาๆสิคุณ ผมเป็นผู้ป่วยนะ จะไปสู้แรงคุณได้ยังไง” จิ้นเฟิงเหราบ่นออกมา
จากนั้นเขาก็หันหน้าไปมองส้งหวั่นชีงและพูดว่า “แต่ถ้าคุณไม่รังเกียจละก็ ผมเป็นแฟนให้คุณได้นะครับ”
ส้งหวั่นชีงมองเขาแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
เมื่อมองไปที่ส้งหวั่นชีง จิ้นเฟิงเหราก็รู้สึกว่าเธอน่ารักจริงๆ ถ้าวันไหนเธอไม่อยู่ที่นี่เขากลัวว่าตัวเองจะตายเพราะความเหงาแน่ๆ
เมื่อนึกขึ้นอีกครั้งถึงเรื่องที่จิ้นเฟิงเฉินจดทะเบียนสมรสกับเจียงสื้อสื้อ จิ้นเฟิงเหราก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา เมื่อไหร่กันที่นางฟ้าของเขาจะปรากฏตัวขึ้น
สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือตอนนี้ในสมองของส้งหวั่นชีงไม่ต่างจากที่เขาคิด
คำพูดของจิ้นเฟิงเหราเมื่อสักครู่ ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยคิดมาก่อน แต่ครอบครัวของเขาสูงส่งเกินเอื้อม
การที่เธอตกหลุมรักคุณชายตระกูลจิ้น มันเป็นได้เพียงความฝันเท่านั้น
หลังจากทายาให้จิ้นเฟิงเหราแล้ว ส้งหวั่นชีงก็เดินจากไปโดยปล่อยให้จิ้นเฟิงเหรานอนอยู่บนเตียงคนเดียว
ณ ตระกูลจิ้น
จิ้นเฟิงเฉินจูงมือเจียงสื้อสื้อเข้าไปในบ้านด้วยท่าทางมีความสุข หลังจากเปิดประตูเขาก็พบว่าพ่อและแม่ของเขานั่งอยู่บนโซฟาและจ้องมาทางทั้งสอง
“พ่อครับ แม่ครับ วันนี้ไม่มีธุระที่ไหนเหรอครับ?”จิ้นเฟิงเฉินถามอย่างสงสัย
“ลูกไม่ต้องทำเป็นเปลี่ยนเรื่องเลย เรื่องใหญ่แบบนี้ทำไมไม่บอกพวกเราล่วงหน้า? พวกเราเพิ่งรู้เรื่องจากเลขาว่าพวกเธอสองคนไปจดทะเบียนกันแล้ว นี่เป็นเรื่องสำคัญมากเลยนะ” แม่จิ้นบ่นออกมา
ก่อนที่จิ้นเฟิงเฉินจะพูดอะไรออกไป ผู้เป็นพ่อของก็โต้กลับว่า “เอาล่ะๆ อย่าไปจู้จี้กับความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนนักเลย ถ้าไม่มีสมุดเล่มแดงนั่นแล้วพวกเขาจะไม่รักกันหรือไงคุณอีกอย่างตอนนี้พวกเขาจดทะเบียนสมรสกันแล้ว เจียงสื้อสื้อก็เป็นสะใภ้เราแล้วก็เป็นคนในครอบครัวของเราด้วย ในฐานะแม่สามีคุณจะเอาแต่ดุด่าอย่างเดียวเลยหรือไง?”
แม่จิ้นมองพ่อจิ้นอย่างโมโหและพูดว่า“คุณก็เอาดีเข้าตัวคนเดียว ที่เจียงสื้อสื้อมาเป็นสะใภ้เราฉันก็ดีใจนะคะ เพียงแต่ว่าอยากจัดงานให้ยิ่งใหญ่สมเกียรติให้สื้อสื้อ ทำอย่างนี้มัน……”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณป้า ฉันไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอกค่ะ เพียงแค่ฉันกับจิ้นเฟิงเฉินรักกันก็เพียงพอแล้ว” เจียงสื้อสื้อตอบด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินคำพูดของเจียงสื้อสื้อ แม่จิ้นก็ยิ้มและจับมือเธอพูดว่า “ยังเรียกว่าคุณป้าอยู่หรือ?ควรจะเปลี่ยนได้แล้วนะ?”
คำพูดของแม่จิ้นทำให้เจียงสื้อสื้อเขินจนหน้าแดง
“ที่รักครับ ถึงเวลาที่คุณจะเรียกคุณว่าพ่อแม่แล้วนะ” จิ้นเฟิงเฉินยิ้มและกอดไหล่ของเจียงสื้อสื้อไว้แน่น
“แม่……” เจียงสื้อสื้อพูดอย่างเขินอาย เธอยังปรับตัวไม่ถูก
“นี่สื้อสื้อ ตอนนี้เธอเป็นสะใภ้ของตระกูลจิ้นแล้วนะ ไม่จำเป็นต้องระมัดระวังตัวมากเกินไปหรอก เป็นกันเองก็พอ” แม่จิ้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นว่าเจียงสื้อสื้อทำตัวไม่ถูก จิ้นเฟิงเฉินจึงกุมมือเธอไว้และมอบสมุดเล่มแดงให้กับแม่จิ้น
“แม่ครับ ทะเบียนสมรสครับ”
แม่จิ้นรีบหยิบมันมาดูรูปถ่ายข้างในแล้วยิ้มด้วยความโล่งใจ
“แม่ครับ ผมจะพาสื้อสื้อไปพักผ่อนก่อน ถ้ามีอะไรก็โทรหาผมได้เลยนะครับ”
“อืมๆขึ้นไปเถอะ เดี๋ยวแม่กับพ่อจะไปรับเสี่ยวเป่าเอง ไม่ต้องห่วง ถ้าไม่มีธุระอะไรเราจะไม่ไปรบกวนแน่”แม่จิ้นพูดอย่างคลุมเครือ
เมื่อรู้สึกถึงสายตาของแม่จิ้น เจียงสื้อสื้อก็เขินอายและรีบเดินขึ้นไปชั้นบน
“ในที่สุดจิ้นเฟิงเฉินของเราก็มีภรรยาสักที ปมในใจของฉันถูกขจัดออกไปหมดแล้ว แต่เรื่องของเฟิงเหราก็เป็นเรื่องน่าปวดหัวสำหรับฉันเหมือนกัน”
แม่จิ้นมองไปที่สมุดสีแดงและอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา
เมื่อเห็นแม่จิ้นรู้สึกกังวล พ่อจิ้นจึงพูดออกมาว่า“อย่ากังวลไปเลยคุณ ลูกๆหลานๆเค้ามีทางของตัวเอง อย่าไปสนใจเฟิงเหรามากนัก เดี๋ยวเขาก็หาคนนั้นของเขาเจอเอง”