ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 426 สอบปากคำด้วยตัวเอง
บทที่ 426 สอบปากคำด้วยตัวเอง
ในคืนนี้ ส้งหวั่นชีงรู้สึกนอนไม่หลับ
แม้จะเข้างานในตอนกลางวัน แต่เธอก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อคำนินทาเหล่านั้นได้เลย คำเหยียดหยามที่เต็มไปด้วยเจตนาร้ายเหล่านั้น จะให้เธอไม่เก็บเอามาใส่ใจโดยสิ้นเชิงได้ยังไง
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ช้าก็เร็วจิ้นเฟิงเหราก็ต้องออกจากโรงพยาบาลในสักวันอยู่ดีส่วนตัวเธอเองยังต้องอยู่ที่นี่ต่อไปอีกเป็นเวลานาน
ในอนาคตเพื่อนร่วมงานเหล่านั้นก็ล้วนแต่ยังต้องพบหน้ากันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้ตัวคนเดียว ต่อไปเกรงว่าคงจะถูกเยาะเย้ยถากถางในอนาคต
ชั่วขณะหนึ่ง เธอหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจิ้นเฟิงเหราจะพาตัวเธอไปอยู่กับเขาได้ แต่เธอเองก็รู้ว่านี่เป็นเพียงความหวังลมๆ แล้งๆ เท่านั้น
เธอส่ายหน้า เตือนตัวเองว่าอย่าไปคิดถึงมันอีก ความเหนื่อยล้าที่สั่งสมมาทั้งวัน ทำให้เธอหลับไปในที่สุด
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ส้งหวั่นชีงเก็บข้าวของและไปทำงาน อย่างแรกคือไปที่ห้องคนไข้เพื่อใส่ยาให้จิ้นเฟิงเหรา
หลังจากพักผ่อนมาทั้งคืน อารมณ์ของเธอจึงดีขึ้นมาก
จิ้นเฟิงเหราที่ยังคงมีท่าทีเบื่อหน่าย เมื่อเขาเห็นส้งหวั่นชีง ก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาเล็กน้อย
“ผมก็นึกว่าเมื่อวานคุณโกรธเสียอีก” จิ้นเฟิงเหรากล่าว
ส้งหวั่นชีงทำสีหน้าปั้นยาก “ฉันโกรธเรื่องอะไรคะ?”
เธอพูดพลางจัดยาไปพลาง จากนั้นจึงกล่าวอีกว่า “เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้วค่ะ รีบใส่ยาเถอะ”
จิ้นเฟิงเหราในเวลานี้ นอนคว่ำหน้าอยู่ตรงนั้นอย่างว่าง่าย เขาย่นหัวคิ้วกล่าวว่า “คุณเบาๆ หน่อยนะ”
ท่าทางไม่สนโลกของเขาทำให้ส้งหวั่นชีงเต็มไปด้วยความโกรธ แต่ในใจก็ยังกลัวว่าจะทำให้เขาเจ็บ
ปกติการใส่ยาให้คนไข้ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นสองเท่า เธอค่อยๆ ใส่ยาให้เขาอย่างเบามือ
เธอทำเบามือขนาดนี้ จิ้นเฟิงเหราก็ยังคงเจ็บจนแยกเขี้ยว ทำให้ส้งหวั่นชีงจนปัญญาอยู่บ้างจริงๆ สุดท้ายจึงทำได้เพียงใส่ยาไปพลางเป่าเบาๆ ไปพลาง เพื่อบรรเทาความเจ็บลง
ผลสุดท้าย จิ้นเฟิงเหรายังคงร้องโอดโอยอยู่ตรงนั้น “เจ็บจังเลย ตอนนั้นทำไมถึงไม่รู้สึกอะไร ตอนนี้เจ็บอย่างกับถูกแล่เนื้อเถือหนัง”
ส้งหวั่นชีงจำต้องปฏิบัติตามจรรยาบรรณในอาชีพพยาบาล กล่าวกำชับอย่างอารมณ์ดีว่า “รู้ก็ดีค่ะ ระยะนี้ คุณอย่าเพิ่งทำอะไรหักโหมจนเกินไปจะดีกว่า หากเกิดแผลฉีกขึ้นมา คุณก็ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดแบบนี้อีกครั้ง”
จิ้นเฟิงเหราพอได้ยินก็ตัวสั่น กล่าวอย่างระมัดระวังว่า “โหดขนาดนี้เชียว แต่จะว่าไปแล้ว ดูเหมือนพักนี้ดวงผมจะซวยหนักจริงๆ นอนอยู่ในโรงพยาบาลจนรากงอกแล้ว”
แม้ว่านี่จะเป็นความจริง แต่ในใจส้งหวั่นชีงกลับลอบยินดีอยู่เล็กน้อย จากนั้นก็ตระหนักได้ว่าแบบนี้มันผิดหลักจรรยาบรรณเกินไป เธอจึงพูดว่า “งั้นคุณก็รักษาตัวให้ดีๆ ล่ะ พอแผลหายแล้ว คุณก็ไม่ต้องอยู่ที่นี่อีกแล้ว”
คุณชายรองจิ้นทำเสียงฮึดฮัด ปากพ่นวาจาแบบลูกผู้ดีมีเงินออกมา “โธ่ พอคิดว่าใกล้จะหายขึ้นมา ผมก็คิดถึงไนท์คลับที่เคยไปพวกนั้นจะแย่ ยังมีพี่น้องที่แสนดีอีก รวมทั้งสาวสวยน่ารักด้วย”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขาก็อดจุ๊ปากขึ้นมาไม่ได้ ราวกับโหยหามันมากเหลือเกิน
ส้งหวั่นชีงกล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า “งั้นก็ช่วยไม่ได้ สภาพอย่างคุณตอนนี้ ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นแหละค่ะ ทำได้แค่พักฟื้นอย่างสงบเท่านั้น รอหายดีแล้วค่อยออกไปเที่ยวเถอะ”
เธอพูดแบบนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะความปากไวชั่วขณะของตัวเองเมื่อวานนี้ ต่อมาจึงกลับไปไตร่ตรองถึงผลลัพธ์อยู่นาน
แต่วันนี้พอเธอได้ยินคำพูดแบบนี้ ในใจก็ยังเจ็บแปลบอยู่ดี จึงรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ มือของเธอจึงจงใจกดบาดแผลของเขาโดยไม่รู้ตัว ทำให้คุณชายรองจิ้นกรีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง
“โอ๊ย! ส้งหวั่นชีงเบาหน่อยได้ไหม ผมบอกแล้วไงว่าผมกลัวเจ็บ! ”
ส้งหวั่นชีงไม่คาดคิดว่าเธอจะทำอย่างที่คิดในใจออกมา รีบรักษาม้าตายให้เหมือนกับม้าเป็น ทาเปะปะอยู่สองครั้ง ก็รีบเผ่นออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่าผู้กระทำผิดหลบหนีไป จิ้นเฟิงเหราจึงได้แต่พันผ้าก๊อซให้ตัวเองอย่างยากลำบาก
ผ่านไปสักพัก ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
จิ้นเฟิงเหราคิดว่าน่าจะเป็นส้งหวั่นชีงมา จึงกล่าวด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “รีบเข้ามาสิ”
แต่พอเขาเห็นว่าเป็นเจียงสื้อสื้อมาพร้อมกับอาหาร จึงรีบปรับเปลี่ยนสีหน้าทันที กล่าวอย่างประจบว่า “วันนี้พี่สะใภ้เอาของกินอะไรมาให้ผมเหรอ”
เวลานี้ จิ้นเฟิงเฉินก็ผลักประตูเข้ามาพอดี เมื่อเห็นสภาพของเขา ก็อดกระเซ้าขึ้นมาไม่ได้ว่า “ดูท่าคุณส้งคงจะเอาของกินป้อนให้ถึงปากนาย เราเพิ่งเข้ามาถึงถามหาของอร่อยแล้ว”
พูดจบในหัวจิ้นเฟิงเหราก็ผุดภาพส้งหวั่นชีงเผ่นหนีออกไปอีกครั้ง จึงส่ายหัวอย่างไม่สบอารมณ์
จิ้นเฟิงเฉินกับเจียงสื้อสื้อมองหน้ากันแล้วยิ้ม ต่างเข้าใจกันอยู่ในใจ
จิ้นเฟิงเหราเปิดกล่องอาหารด้วยตัวเอง พอเห็นของกินด้านใน ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวชมว่า “พี่สะใภ้ดีกับผมมากจริงๆ นำของกินอร่อยๆ มาให้ตั้งมากมาย”
เจียงสื้อสื้อรีบกล่าว “เปล่าสักหน่อย พี่เอามาเผื่อหวั่นชีงด้วย นายเรียกเธอมากินด้วยกันสิ”
เมื่อจิ้นเฟิงเฉินที่อยู่อีกด้านมองเห็นท่าทางของเขา ก็รู้ว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง จึงรีบดึงมือเจียงสื้อสื้อกล่าวว่า “สื้อสื้อ ผมว่าเขาใช้ชีวิตได้ชื่นมื่นดี พวกเราไม่รบกวนเขาดีกว่า”
พูดจบพวกเขาก็ทักทายกันอีกสองสามคำ สองสามีภรรยาถึงค่อยจากไป
เมื่อมาถึงบริษัท เจียงสื้อสื้อก็ไปที่แผนกตามปกติ ส่วนจิ้นเฟิงเฉินตรงไปที่ห้องทำงาน
ทันทีที่เดินเข้าไปในห้องทำงาน ผู้ช่วยก็รีบเดินเข้ามารายงานจิ้นเฟิงเฉินว่า “คุณชายครับ ผู้หญิงคนนั้นหนีไปแล้ว แต่เรายังพอตามข่าวได้บ้าง เชื่อว่าอีกไม่นานน่าจะหาตัวเจอ”
พอจิ้นเฟิงเฉินได้ยินก็พยักหน้า ผ่านไปสักพักจึงพูดว่า “รู้แล้ว ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินตามหาก็ต้องหาให้เจอ”
พอคิดถึงสิ่งที่คนเหล่านั้นทำกับเจียงสื้อสื้อ จิ้นเฟิงเฉินก็แทบอยากจะถลกหนังพวกเขาเรียงตัวจนทนไม่ไหว
กู้เนี่ยนเงยหน้ามองเขา พลางกล่าวว่า “คุณชายไม่ต้องกังวล จื่อเฟิงพาคนไปที่นั่นแล้ว อีกไม่นานก็น่าจะรู้ผล”
พอได้ยินว่า จื่อเฟิงเป็นผู้นำคนไปเอง ในใจของจิ้นเฟิงเฉินก็สงบลงถึงสามส่วน เพราะอย่างไร จื่อเฟิงก็เป็นคนที่เขาฝึกฝนมาเอง ความสามารถย่อมไม่ธรรมดา และยังเชื่อใจได้อีกด้วย
เป็นดั่งที่คาด พอถึงตอนเย็น จื่อเฟิงก็กลับมาอย่างเร่งรีบ
เมื่อเห็นเธอกลับมา ใจของจิ้นเฟิงเฉินก็ขึ้นมาอยู่ที่ลำคอ เขาถามออกไปว่า “เป็นยังไงบ้าง”
จื่อเฟิงพยักหน้า “ไม่ต้องกังวลค่ะคุณชาย นำตัวคนกลับมาแล้ว รอแค่คุณไปสอบปากคำด้วยตัวเอง”
จิ้นเฟิงเฉินพยักหน้า พลางถามว่า “ไป เข้าไปเถอะ”
ระหว่างทาง สีหน้าของจิ้นเฟิงเฉินมืดครึ้มอย่างน่ากลัว ไม่ต่างกับพญายมในยมโลก ทำให้คนเห็นไม่กล้าเข้าใกล้
กระทั่งผู้หญิงคนนั้นเห็นเข้า เธอยังอดตกใจจนตัวสั่นไม่ได้
เรื่องเล็กแค่นี้ จื่อเฟิงไม่ได้อยากให้จิ้นเฟิงเฉินลงมือด้วยตัวเอง พอถึงที่นั่น เธอก็เปิดประตูถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “พูดมา คนที่อยู่เบื้องหลังของเธอเป็นใคร”
ผู้หญิงคนนั้นยังคงไม่ยอมเปิดปาก เวลานี้จิ้นเฟิงเฉินกล่าวอย่างเย็นชา “เธอไม่ยอมพูดใช่ไหม หรือคิดว่าฉันจะไม่มีวิธีง้างปากของเธอ”
คำพูดนี้เมื่อออกมาจากปากเขา จึงราวกับกำลังโยนคนเข้าไปในถ้ำน้ำแข็ง ต่อให้ผู้หญิงคนนั้นกระดูกแข็งแค่ไหน เวลานี้ก็ถูกความเย็นจนทำให้อ่อนปวกเปียกขึ้นมาแล้ว
สุดท้ายผู้หญิงคนนั้นก็รับสารภาพ คำให้การทั้งหมดต่างชี้เป้าไปที่เจียงนวลนวล