ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 429 เธอคิดว่าเธอเป็นใคร
บทที่ 429 เธอคิดว่าเธอเป็นใคร
หลังจากกลับมาถึงบ้าน อารมณ์ของเจียงสื้อสื้อก็ไม่ดีอย่างมาก เธอจึงตรงไปที่ห้องทันที
ระยะนี้ จิ้นเฟิงเหราพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอย่างว่าง่ายมาตลอด อาการบาดเจ็บจึงหายดีอย่างรวดเร็ว หมอบอกว่าอีกไม่กี่วันก็สามารถลงจากเตียงได้แล้ว
ในขณะที่เขากำลังเล่นเกมอยู่ ก็เห็นส้งหวั่นชีงเข็นรถเข็นจ่ายยาเข้ามาอีกครั้ง
เพราะกำลังเล่นเป็นทีม เขาจึงพูดโดยไม่เงยหน้าว่า “รอเดี๋ยว รอผมเล่นตานี้จบก่อน”
เดิมส้งหวั่นชีงก็ยุ่งมากอยู่แล้ว เธอเป็นห่วงสุขภาพของเขา จึงมาใส่ยาให้เขาที่นี่เป็นที่แรก คิดไม่ถึงว่าจะถูกเพิกเฉย จึงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที
“คุณชายรองจิ้นคะ หากคุณยังไม่มาตรงนี้แต่โดยดีอีก ฉันรับรองว่าวันนี้คุณได้ใส่ยาเองแน่”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จิ้นเฟิงเหราก็ขยับนิ้วอย่างรวดเร็วบนหน้าจอ ไม่ถึงหนึ่งนาที ระบบเกมก็แสดงให้เห็นถึงชัยชนะ
หลังจบเกม เขาก็รีบนอนคว่ำลงแต่โดยดี ทำให้ส้งหวั่นชีงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
แน่นอนว่าคนที่มี IQ สูงจะทำอะไรได้คล่องกว่าคนอื่น
จู่ๆ ส้งหวั่นชีงก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เมื่อเทียบกับความเงียบเป็นเป่าสากในตอนแรก สองวันมานี้ดูจะมีคนมาเยี่ยมจิ้นเฟิงเหรามากขึ้นกะทันหัน
เธอจึงอดถามอย่างแปลกใจไม่ได้ว่า “ทำไมพักนี้จู่ๆ ก็มีคนมาเยี่ยมคุณมากขึ้นล่ะ”
จิ้นเฟิงเหราเลิกคิ้ว “คือว่านะ ก่อนหน้านี้ผมบาดเจ็บค่อนข้างสาหัส แม่ผมกลัวว่าเพื่อนๆ จะมารบกวนการพักฟื้นของผม จึงสั่งห้ามคนเหล่านั้นมาที่นี่ และให้พี่ชายผมคอยควบคุม คนอย่างพี่ผมคุณเองก็น่าจะรู้จัก พูดคำไหนคำนั้น เขายืนอยู่ตรงนั้น ใครจะกล้ามาที่นี่กัน”
ส้งหวั่นชีงยิ้มอ่อน พูดกับประตูว่า “ประธานจิ้น จู่ๆ คุณมาได้ยังไงคะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จิ้นเฟิงเหราเกือบจะเด้งตัวขึ้นจากเตียงแทบไม่ทัน
แต่เนื่องจากเขายังบาดเจ็บอยู่ ท้ายที่สุดจึงไม่อาจเด้งตัวขึ้นมาได้
เขาทำสีหน้าเหมือนกินแมลงเข้าไป กล่าวอย่างเก้อกระดากว่า “พี่ พี่มาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่……”
แต่เขากลับไม่ได้ยินเสียงตอบกลับมา ผ่านไปสักพัก เขาถึงรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
จึงหันไปมองส้งหวั่นชีงแวบหนึ่ง เห็นว่าเธอกำลังกลั้นยิ้ม ในใจเขาจึงเข้าใจเรื่องราวขึ้นมาทันที
“ผมว่านะส้งหวั่นชีง คุณอย่าเล่นมุกน่าเบื่อแบบนี้ได้ไหม ใช้พี่ผมมาขู่ผมเนี่ย”
จิ้นเฟิงเหรากัดฟันพูดด้วยสีหน้าซังกะตาย
บังเอิญที่ว่าส้งหวั่นชีงคิดว่าทำแบบนี้สนุกมาก ในเมื่อถูกเขาจับได้แล้ว เธอก็ไม่ต้องแอบซ่อนมันเสียเลย จึงหัวเราะออกมาทันที
ผ่านไปหนึ่งนาที จิ้นเฟิงเหราจึงพูดอย่างอดรนทนไม่ได้ว่า “ส้งหวั่นชีง ผมพูดกับคุณอยู่นะ”
ส้งหวั่นชีงหัวเราะอยู่สักพัก ถึงได้ผ่อนคลายลง กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ใครใช้ให้ปกติคุณอวดดีขนาดนั้นกันเล่า แบบนี้แหละสมควรแล้ว”
จิ้นเฟิงเหรากลับไม่สนใจเธอ หันหน้าไปพูดกับประตูว่า “คณบดี วันนี้คุณมาตรวจไข้ด้วยตัวเองอีกแล้วเหรอครับ”
ทันทีที่พูดจบ ก็เห็นรอยยิ้มของส้งหวั่นชีงแข็งค้างอยู่บนใบหน้า
จิ้นเฟิงเหราระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที
ส้งหวั่นชีงพยายามอดกลั้นความคิดที่อยากจะฆ่าเขาให้ตาย กล่าวอย่างโหดเหี้ยมว่า “จิ้นเฟิงเหรา คุณขู่ฉัน”
ใครจะรู้ว่าจิ้นเฟิงเหราจะทำหน้าไร้เดียงสา แบมือออก “นี่เรียกว่าหนามยอกเอาหนามบ่ง ใครใช้ให้คุณมาขู่ผมก่อนล่ะ”
เพราะอย่างไรก็เป็นเธอเองที่ไปขู่เขาก่อน ส้งหวั่นชีงรู้ว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด จึงไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่ทายาให้เขาอย่างเงียบๆ
พอจิ้นเฟิงเหราใส่ยาเสร็จ ประตูห้องคนไข้ของเขาก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง มีกลุ่มคนที่ดูเหมือนคุณชายเจ้าสำราญเดินเข้ามา พูดถากถางจิ้นเฟิงเหรากันยกใหญ่
“นี่คุณชายรองจิ้น นายบาดเจ็บมาเป็นร้อยวันแล้ว ทำไมยังไม่หายดีอีก พวกฉันรอนายไปแดนซ์ด้วยอยู่นะ”
“ใช่ ขาดนายก็เหมือนขาดความสนุก เมื่อก่อนยังมีคนเลี้ยงข้าวพวกเรา ตอนนี้ไม่มีแล้ว”
จิ้นเฟิงเหราทำเสียงขึ้นจมูก “นายยังขาดสาวๆ เลี้ยงข้าวอีกเหรอ ใช้เงินแค่ไหนเชียว”
“นี่ไม่เกี่ยวกับเรื่องเงิน ถูกสาวเลี้ยงเลี้ยงข้าวได้หน้ากว่าเลี้ยงเองเสียอีก”
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ในใจจิ้นเฟิงเหราก็รู้สึกปลื้มอกปลื้มใจขึ้นมา อย่างน้อยนี่ก็พิสูจน์ว่าเขาหล่อที่สุดในกลุ่ม
ส้งหวั่นชีงไม่เคยชอบคนเหล่านี้มาแต่ไหนแต่ไร เกาะความสามารถของพ่อแม่กินล้างกินผลาญก่อเรื่องไปวันๆ ไม่ทำอะไรสักอย่าง
ดังนั้นทุกครั้งที่พวกเขามา เธอก็จะออกไปทันที
ยกเว้นคนที่มาจะเป็นผู้หญิง……
เป็นดังคาด หลังจากนั้นไม่นาน พอเธอปรากฏตัวพร้อมกับอาหารอีกครั้ง ก็มีผู้หญิงหลายคนอยู่ในห้อง รวมทั้งยังมีลูกคุณหนูไฮโซอยู่ในนั้นด้วย
ล้วนเป็นสาวสวยเอวบางขายาวสมส่วนทั้งนั้น ส่วนหนุ่มบ้านรวยพวกนั้นเมื่อกี้ ก็หลบไปยืนมองสาวสวยอยู่อีกข้างแทน
ผู้หญิงเหล่านั้นฉากหน้ามาเยี่ยมคนป่วย แต่ละคนแสร้งทำท่าทางเป็นมิตรไมตรีต่อกัน
แต่ที่จริงแล้ว ไม่รู้ว่าลับหลังประชันขันแข่งกันยังไงบ้าง
ส้งหวั่นชีงยังไม่ทันได้เข้าไป ก็ได้ยินเสียงหวานหยดย้อยดังออกมา
“คุณชายรองขา พวกเราทุกคนหวังว่าคุณจะหายดีเร็วๆ งานปาร์ตี้ที่มีคุณอยู่ ยังไงก็สนุกกว่าอยู่ดี”
“มาค่ะ คุณชายรอง ฉันปอกองุ่นให้คุณแล้ว ลองชิมสิคะ”
“คุณชายรอง พ่อฉันเพิ่งเอาไวน์แดงชั้นดีกลับมาจากฝรั่งเศสสองขวด คุณว่างเมื่อไหร่คะ?”
“คุณชายรอง เดือนหน้ามีงานเต้นรำ คุณมาได้ไหมคะ?”
คำว่าคุณชายรองที่ผู้หญิงพวกนั้นพูดมาแต่ละคำ เข้ามาจุกที่อก จนส้งหวั่นชีงแทบจะอาเจียนออกมา
ผู้หญิงพวกนี้ช่างทำให้เธอสะอิดสะเอียนจริงๆ
และไม่ว่าคนอื่นจะมองยังไง ส้งหวั่นชีงก็ผลักประตูเข้าไป พูดอย่างเย็นชาว่า “กินข้าวได้แล้วค่ะ”
เวลานี้จิ้นเฟิงเหรากำลังสนทนากับผู้หญิงกลุ่มนั้นอย่างออกรสชาติ ไม่แม้แต่จะฟังที่เธอพูดสักนิด
ส้งหวั่นชีงมองไปที่สาวสังคมในห้องนี้ กลิ่นน้ำหอมผสมปนเปกันไปหมด
แม้แต่กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อที่มีอยู่เดิมก็ยังหายไปด้วย หากไม่รู้ยังคิดว่าที่นี่เป็นสถานที่อโคจรเสียอีก
เธอมองไปที่จิ้นเฟิงเหรา แล้วมองไปที่ผู้หญิงกลุ่มนี้ สุดท้ายก็ระงับอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่
เพิ่มระดับเสียงขึ้นทันทีว่า “กรุณาอย่าส่งเสียงดังค่ะ”
เธอคิดว่าน้ำเสียงของเธอสุภาพเพียงพอแล้ว แต่ลูกคุณหนูไฮโซเหล่านั้นถูกตามใจจนเสียคนมาตั้งแต่เด็ก ถูกเสียงตำหนิแค่นี้จะเชื่อฟังได้ยังไง
แต่ละคนต่างมีท่าทางหยิ่งผยอง ตอบกลับไปอย่างเย็นชาว่า “เธอคิดว่าเธอเป็นใคร ถึงมาห้ามไม่ให้พวกเราส่งเสียงดัง”
คนที่เหลือเงียบ อาจเป็นเพราะคนเหล่านั้นไม่ได้มีตำแหน่งหรือสถานะอะไร
ขอเพียงพวกเขาสามารถพึ่งพาความสัมพันธ์กับครอบครัวไฮโซเหล่านี้ได้ ก็พร้อมที่จะเฝ้ามองตาปริบๆ
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบงัน พวกเพื่อนกะเลวกะลาดเหล่านั้นที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ด้านข้าง ในเวลานี้ก็สังเกตเห็นส้งหวั่นชีงแล้ว
เขามองเธออย่างเห็นอกเห็นใจ สายตาราวกับจะสื่อว่า : ผู้หญิงอย่างเธอยังกล้าไปแย่งผู้ชายกับคนเหล่านั้นอีก
ส้งหวั่นชีงวางตัวไม่ต้อยต่ำและไม่สูงส่งจนเกินไป พูดออกมาตรงๆ ว่า “ฉันไม่ได้เป็นใครที่ไหนหรอกค่ะ แต่เป็นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล พวกคุณทำแบบนี้มันกระทบกับการทำงานของโรงพยาบาลอย่างร้ายแรง และรบกวนการพักผ่อนของคนไข้ด้วย
ป้ายห้ามส่งเสียงดังใหญ่ขนาดนั้นแปะอยู่หน้าประตูคุณไม่เห็นเหรอคะ? หากพวกคุณยังทำแบบนี้อีก ฉันจะให้คนมาไล่พวกคุณออกไป”
ลูกคุณหนูไฮโซกลุ่มนั้นย่อมไม่กลัวว่าจะถูกไล่ แต่พวกหล่อนกลัวเสียหน้า กลัวว่าวันรุ่งขึ้นจะมีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่ว
ดังนั้นต่อให้ไม่พอใจ ก็ทำได้เพียงจากไปอย่างกระฟัดกระเฟียดเท่านั้น