ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 430 อย่าได้ยุ่งเกี่ยวใดๆ กันอีก
บทที่ 430 อย่าได้ยุ่งเกี่ยวใดๆ กันอีก
หลังจากผู้หญิงพวกนั้นออกไปกันหมดแล้ว ในห้องผู้ป่วยจึงกลับมาสู่ความสงบดังเดิม
ส่วนพวกเพื่อนกะเลวกะลาดที่อยู่ด้านข้าง พลันเปลี่ยนมุมมองใหม่ที่มีต่อส้งหวั่นชีงทันที พวกเขารู้สึกว่าหากอยู่ต่อไปนานกว่านี้ คงถูกส้งหวั่นชีงไล่ออกไปแน่ ควรรีบหาข้ออ้างหนีไปจะดีกว่า
เมื่อทุกคนไปกันหมดแล้ว ส้งหวั่นชีงถึงได้ยกอาหารขึ้นมา กล่าวอย่างเย็นชาว่า “อาหารบำรุงจะต้องมาส่งที่นี่ เป็นทางผ่านฉันพอดี เลยเอามาส่งให้คุณ”
เมื่อเห็นสีหน้าหม่นคล้ำของส้งหวั่นชีง จิ้นเฟิงเหราก็ยักไหล่ มองไปที่เธอแล้วพูดว่า “ทำไมครับ หึงเหรอ”
คิดไม่ถึงว่าส้งหวั่นชีงที่เดิมทีมีสีหน้าหม่นคล้ำอยู่แล้ว พอได้ยินคำพูดของเขาก็โกรธขึ้นมากะทันหัน กล่าวว่า “คุณฝันไปเถอะ ชาตินี้ต่อให้ฉันตายก็ไม่มีทางชอบคุณชายเพลย์บอยแบบคุณหรอก! ”
หลังจากพูดจบ เธอก็เดินจากไปด้วยความกรุ่นโกรธ ไม่สนใจเสียงร้องเรียกของจิ้นเฟิงเหราที่ดังตามหลังมาโดยสิ้นเชิง
ปฏิกิริยาเช่นนี้ของเธอ จิ้นเฟิงเหราเองก็หาคำอธิบายไม่ได้เหมือนกัน
ทั้งๆ ที่เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่เลย จู่ๆ ก็ชักสีหน้าไม่พูดไม่จา แถมยังพูดจารุนแรงขนาดนี้ ช่างทำให้คนคาดไม่ถึงจริงๆ
ทว่าจิ้นเฟิงเหราเองก็คิดไม่ตกว่า สรุปแล้วเธอโกรธที่ตรงไหนกันแน่
แต่ก็ไม่รู้อีกว่าทำไม เขากลับรู้สึกว่าอาหารมื้อนี้ไม่มีรสชาติเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งกินก็ยิ่งรู้สึกรสชาติจืดชืดราวกับเคี้ยวเทียน สุดท้ายก็กินส่งๆ ไปสองคำแล้ววางตะเกียบลง
หลายวันต่อมา ส้งหวั่นชีงก็ไม่สนใจเขาอีกเลย แม้จะเป็นตอนใส่ยาก็ตาม
จิ้นเฟิงเหรารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า การกระทำของส้งหวั่นชีงไม่ได้นุ่มนวลเหมือนแต่ก่อน กำลังคิดจะเล่นลูกไม้เดิมๆ ด้วยการทำเป็นร้องโอดโอยต่อ แต่เธอก็รีบจากไปทันที
ระหว่างขั้นตอนทั้งหมดทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย อีกไม่กี่วันต่อมา ทั้งสองพูดคุยกันแทบจะนับคำได้
จนถึงวันที่สี่ จิ้นเฟิงเหราก็อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป กล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “ส้งหวั่นชีง พักนี้คุณเป็นอะไร เห็นผมไม่มีตัวตนหรือไง”
“เปล่า” ส้งหวั่นชีงยังคงเย็นชาเช่นเดิม
ท่าทีเช่นนี้ของเธอทำให้จิ้นเฟิงเหราหวาดกลัวเล็กน้อย เพราะเมื่อก่อนไม่ว่าเธอจะโกรธแค่ไหน ก็ทำเพียงตีฝีปากกับเขาเท่านั้น
แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป เธอดูเหมือนจะโกรธจริงๆ
“ถ้าคุณไม่พอใจอะไรผม ก็พูดออกมาสิ อย่าทำแบบนี้ได้ไหม”
แม้จะรู้สึกว่าได้รับความเย็นชาตอบกลับมา แต่จิ้นเฟิงเหราเองก็ไม่ได้สนใจมากมายเท่าไหร่นัก
“คุณคือคุณชายรองจิ้น ฉันจะกล้าไม่พอใจคุณได้ยังไงกัน”
พูดจบ ส้งหวั่นชีงก็เก็บยาทั้งหมดเข้าที่ แล้วจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
จิ้นเฟิงเหราหันหน้าไปโดยปราศจากคำพูด มองดูต้นไม้ที่อยู่นอกหน้าต่างอย่างใจลอย
เขาไม่ใช่คนที่ยอมลงให้ใครบ่อยๆ ครั้งเดียวก็เกินขีดจำกัดของเขาแล้ว
ดังนั้นหลายวันมานี้ คนทั้งสองต่างใช้ความสัมพันธ์รูปแบบหนึ่งที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งในการอยู่ด้วยกัน
พบหน้ากันทุกวัน แต่ไม่พูดคุยและไม่สนทนากัน
สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไปเป็นเวลาครึ่งเดือน
วันนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คณบดี ก็มาที่นี่ด้วยตนเองอีกครั้ง
“คณบดี ตอนนี้อาการของผมดีขึ้นมากแล้วใช่ไหมครับ” จิ้นเฟิงเหราถามอย่างไม่แน่ใจ
เดิมทีคิดว่า คณบดี จะบอกว่าเขาใจร้อน แต่คิดไม่ถึงว่า คณบดี จะพยักหน้าเห็นด้วย
“ถูกต้อง ผมเห็นว่าบาดแผลของคุณเริ่มตกสะเก็ดแล้ว นอกจากรอยแผลเป็นด้านหลัง ที่เหลือก็เกือบจะหายดีแล้ว ที่ขาเองก็ด้วย”
เมื่อได้ยินคำพูดของ คณบดี จิ้นเฟิงเหราก็รู้สึกไม่แน่ใจอยู่บ้าง จึงถามว่า “แผลเป็นที่ด้านหลัง รักษาได้ไหมครับ? ”
คณบดี พยักหน้า “รักษาได้แต่ก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น ไม่ได้มีผลต่อสุขภาพเท่าไหร่นัก แต่มีผลในด้านรูปลักษณ์มากกว่า
แผนกศัลยกรรมตกแต่งของโรงพยาบาลสามารถทำการผ่าตัดให้ได้ แต่ไม่แนะนำให้ทำการผ่าตัดหากคุณสามารถใช้ยาได้”
จิ้นเฟิงเหราพยักหน้า “ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณ คณบดี มาก งั้นวันนี้ผมออกจากโรงพยาบาลได้หรือยัง”
“อืม อีกเดี๋ยวไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลก็ออกได้แล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จิ้นเฟิงเหราก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
เป็นอิสระสักที! เขาแทบอยากจะประกาศให้โลกรู้ไม่ไหวแล้ว
แต่พอถึงเวลาที่เขาอยากจะพูด ก็ทำเพียงโทรหาคนขับรถที่บ้านอย่างเงียบๆ เท่านั้น
ทันใดนั้นเขาก็คิดได้ว่า หากส้งหวั่นชีงอยู่ที่นี่ก็คงดี ตัวเขาคงสามารถแบ่งปันความสุขนี้กับเธอได้ แต่ในความเป็นจริงเธอไม่ได้อยู่
จะว่าไปแล้ว หลังจากเธอเปลี่ยนยาเสร็จตั้งแต่เมื่อวาน ก็ไม่มาที่นี่อีกเลย
เปลี่ยนยาก็แค่งานที่ต้องทำทุกวัน ต่อให้วันนี้มาแล้วอย่างไร
จิ้นเฟิงเหราเองก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะแบ่งปันความสุขกับท่อนไม้ท่อนหนึ่ง
อาจเพราะ คณบดี กับคนที่แผนกพยาบาลทักทายเขา ตอนที่จิ้นเฟิงเหราไปทำเรื่องขอออกจากโรงพยาบาล พยาบาลหลายคนจึงมารุมล้อมเขา พลางถามอย่างเอาใจใส่อย่างยิ่ง
“คุณชายรองจิ้น บาดแผลบนร่างหายดีหมดแล้วเหรอคะ”
จิ้นเฟิงเหราตอบอย่างสุภาพว่า “คณบดี มาตรวจด้วยตัวเอง ไม่มีอะไรร้ายแรงแล้วครับ”
“คุณชายรองจิ้น พวกเราต้องตัดใจจากคุณไม่ได้แน่”
สำหรับคำพูดเช่นนี้ จิ้นเฟิงเหราเองก็หยอกเก่งไม่แพ้กัน “ผมเองก็ตัดใจจากพวกคุณไม่ได้เหมือนกัน”
ส้งหวั่นชีงที่กำลังจัดยาอยู่ด้านข้าง ได้ยินเขาตอบคำถามของพยาบาลด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ ก็เกือบจะจัดยาอะซิโธรมัยซินเป็นเพนิซิลลินแทน
พยาบาลที่อยู่ด้านข้างเห็นเธอใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก็พูดด้วยสีหน้าเป็นกังวลว่า “หวั่นชีง ถ้าเธอรู้สึกไม่สบาย ก็ไปขอลาหยุดเถอะ อย่าฝืนเลย”
ส้งหวั่นชีงรีบส่ายหน้า “ฉันสบายดี วางใจเถอะ”
เสียงหัวเราะเฮฮาที่อยู่ข้างนอกไม่ได้ส่งผลต่ออารมณ์ของเธอ พยาบาลที่มารุมล้อมเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่พยาบาลบางคนก็เตรียมของขวัญเล็กๆ ที่ทำเองกับมือมามอบให้จิ้นเฟิงเหราด้วย
ความหวังดีของพวกเธอ จิ้นเฟิงเหราย่อมรับเอาไว้ทั้งหมด และยังบอกว่าเขาจะให้ของขวัญคืนถ้ามีโอกาส ซึ่งทำให้พยาบาลเหล่านั้นหน้าแดงไปตามๆ กัน
แม้จิ้นเฟิงเหราจะตกอยู่ในวงล้อมของกลุ่มพยาบาล แต่สายตาของเขาก็ยังสอดส่ายไปรอบๆ ราวกับกำลังมองหาอะไรอยู่
แต่หาอยู่นานก็หาไม่เจอ สุดท้ายจึงทำได้เพียงถอดใจ
หลังจากทำเรื่องเสร็จ จิ้นเฟิงเหราก็กลับไปที่ห้องผู้ป่วยเพียงลำพัง คิดไว้ว่าเก็บข้าวของเสร็จก็จะกลับเลย
คิดไม่ถึงว่าพอเข้าไปในห้อง เขากลับได้พบจิ้นเฟิงเฉินและภรรยา หลังจากประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “พี่ พี่สะใภ้ ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ? ”
เจียงสื้อสื้อยิ้ม “เมื่อกี้ตอนที่นายโทรหาคนขับรถ เราอยู่ในรถพอดี เลยมารับนายที่นี่ด้วยกัน”
จิ้นเฟิงเหรารู้สึกสะเทือนใจไปชั่วขณะ ยังไม่ทันได้พูด ก็ได้ยินจิ้นเฟิงเฉินกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า “ออกจากโรงพยาบาล เรื่องใหญ่ขนาดนี้ กลับไม่บอกฉัน แถมคิดจะกลับเองคนเดียวอีก”
จิ้นเฟิงเหรารู้ว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด จึงกล่าวอย่างสำนึกผิดเล็กน้อยว่า “นี่ผมก็ยังไม่ทันได้กลับเลยไม่ใช่เหรอ เอาล่ะๆ มีเรื่องอะไรกลับไปค่อยว่ากันเถอะ”
สิ้นคำ ทั้งสามก็ออกไปพร้อมกัน
จู่ๆ เจียงสื้อสื้อก็หยุดเท้ากะทันหัน ราวกับคิดอะไรบางอย่างออก รีบถามว่า “หวั่นชีงล่ะ วันนี้เธอไม่มาทำงานเหรอ ทำไมไม่มาส่งนาย”
“เธอ……งานยุ่งน่ะ คงไม่ได้มาแล้ว พวกเราไปกันเถอะ” จิ้นเฟิงเหราเกิดกลัวว่าจะเผยพิรุธอออกมา จึงรีบพูดอย่างเร่งรัด
แม้เขาจะพูดเช่นนี้ แต่เจียงสื้อสื้อกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ ตรงไหนสักแห่ง
แต่อย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องของพวกเขาสองคน เธอเองก็ไม่อยากยุ่งมากเกินไปนัก ทำได้แค่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
เวลานี้ ส้งหวั่นชีงกำลังซ่อนตัวอยู่อีกด้าน มองดูพวกเขาพูดคุยหัวเราะกัน ลงไปชั้นล่าง และขึ้นรถไปในที่สุด
เธอพูดในใจอย่างเงียบๆ ว่า : จิ้นเฟิงเหรา นับแต่นี้ไปพวกเราอย่าได้ยุ่งเกี่ยวใดๆ กันอีก