ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 491 รับโทษของตน
บทที่ 491 รับโทษของตน
“คุณเจียง มีอะไรจะพูดอีกไหม?” จิ้นเฟิงเฉินจ้องมองดูเขาและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เจียงเจิ้นชะงักลง เขาพยายามข่มความโกรธเอาไว้ในใจ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงต่ำว่า “ท่านประธานจิ้น สื้อสื้อเป็นลูกสาวของผม ผมเพียงแค่หวังดีกับเธอเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายเธอ”
จิ้นเฟิงเฉินส่งเสียง “หึๆ” ในลำคอ แล้วมองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น
ในเมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้แล้วเจียงเจิ้นก็ไม่มีทางเลือกอื่น
ในเมื่อมันผิดไปแล้ว อธิบายไปก็ไร้ประโยชน์
ชั่วขณะหนึ่ง เขาแทบอยากจะเปิดโปงเสิ่นซูหลัน แต่ท้ายที่สุดก็อดทนเอาไว้
พวกเขาเป็นสามีภรรยากัน หากเปิดโปงเสิ่นซูหลัน ตระกูลจิ้นก็คงไม่ปล่อยเขาไว้แน่
สู้เอาอกเอาใจเจียงสื้อสื้อสักหน่อย ไม่แน่อาจจะสามารถเรียกร้องความเห็นอกเห็นใจได้บ้างเล็กน้อย
จิ้นเฟิงเฉินได้ยินคำพูดของเขาเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ย
ตอนนี้สิ่งต่างๆได้ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว คุณต้องการจะยื้อมันไว้อย่างนั้นเหรอ?
สายเกินไปแล้ว!
เมื่อพบว่าจิ้นเฟิงเฉินไม่สนใจตน เจียงเจิ้น จึงทำได้เพียงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า “ท่านประธานจิ้น พอจะบอกผมได้ไหมว่าตอนนี้สื้อสื้อเป็นยังไงบ้าง?” แม้ภายนอกของเจียงเจิ้นจะเงียบสงบ แต่ในใจลึกๆแล้วเขากังวลอย่างมากมาย
เมื่อได้ยินเขาถามถึงสื้อสื้อ จิ้นเฟิงเฉินก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน น้ำเสียงของเขาดูอ่อนโยนกว่าเดิมมาก
“ตอนนี้เธออยู่ที่โรงพยาบาล เมื่อสักครู่ผมเป็นห่วงสื้อสื้อจนเกินไปทำให้รีบร้อน ขอโทษที่ทำให้คุณพ่อตาเป็นห่วงนะครับ”
เจียงเจิ้นจะกล้ารับคำขอโทษนั้นไว้ได้อย่างไร เขารีบพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไรๆ เราต่างคนต่างต้องการให้สื้อสื้อมีความสุข”
เขาคิดว่าจิ้นเฟิงเฉินอภัยให้เขาแล้ว จึงได้วางใจลง
แต่ประโยคต่อมาของจิ้นเฟิงเฉินทำให้เขาเหงื่อตก
“แต่เรื่องนี้ตระกูลจิ้นไม่หยุดเท่านี้แน่ พวกเราจะค้นหาความจริงให้ถึงที่สุด พ่อตาครับ ไม่รู้ว่ารังนกนี้ซื้อมาจากที่ไหน?”
“เรื่องนี้ผมก็จำไม่ได้แล้ว ช่วงนี้ที่บ้านซื้อของค่อนข้างเยอะ” ดวงตาของเจียงเจิ้นกะพริบเป็นประกาย
จิ้นเฟิงเฉินพูดอย่างสีหน้าเมินเฉยว่า “รบกวนพ่อตาช่วยคิดอีกครั้งได้ไหม?”
เจียงเจิ้นกลืนน้ำลายลงคอ สมองของเขาแล่นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะตอบอย่างหน้าด้านๆว่า “เหมือนว่าจะมีเพื่อนให้มา ส่วนเป็นใครผมก็จำไม่ได้แล้ว”
คำพูดของเขาตะกุกตะกัก แววตาคอยหลบจิ้นเฟิงเฉินอยู่เสมอ เห็นได้ชัดว่าเขารู้แต่ไม่อยากพูด
จิ้นเฟิงเฉินจ้องมองดูการแสดงของเจียงเจิ้นอย่างเยือกเย็น
อุบายนั้นอาจจะเป็นเท็จ แต่คนที่เขาต้องการปกป้องเป็นเรื่องจริง
วันนี้ตระกูลเจียงเหลือเพียงเจียงเจิ้นและเสิ่นซูหลัน
ผู้ที่คอยช่วยเหลือเจียงเจิ้นในตอนนี้มีเพียงภรรยาที่โง่และร้ายกาจของเขา
จิ้นเฟิงเฉินอดไม่ได้ที่จะมองไปด้วยความเกลียดชัง
เจียงเจิ้นมือไม้อ่อนเดินออกมาจากห้องทำงาน
เขาเข้าไปนั่งในรถเนิ่นนานทีเดียวกว่าจะได้สติขึ้นมา
เขาขับรถกลับบ้าน ระหว่างทางในใจของเจียงเจิ้นยังไม่อาจลดความโมโหลงได้ มีแต่เพิ่มขึ้นทวีคูณ
เขาโมโหเสียจนตาแดง เมื่อกลับถึงบ้านก็รีบลงจากรถเดินไปหาเสิ่นซูหลัน
เมื่อเสิ่นซูหลันที่นั่งอยู่บนโซฟาได้ยินเสียงของเสียงเจียงเจิ้นดังเข้ามาก็ตะโกนบ่น
แต่คาดไม่ถึงว่าเมื่อเธอมองเห็นใบหน้าอันไม่น่ามองเท่าไหร่นักของเขา เสิ่นซูหลันก็ตกตะลึง
“เจียงเจิ้น คุณเป็นอะไรไป?” เสิ่นซูหลันถามขึ้นด้วยความสงสัย
เจียงเจิ้นจ้องไปยังเธอตาเขม็ง เขาพูดด้วยน้ำเสียงน่าหวาดกลัวว่า “เสิ่นซูหลัน ผมขอถามหน่อย คุณอยากทำให้สื้อสื้อตายอย่างนั้นเหรอ ?ทำเป็นใจดีเป็นแม่พระ ทุกอย่างนี้คุณแกล้งทำออกมาใช่ไหม?”
“คุณพูดอะไรกัน ฉันไม่เห็นเข้าใจเลย” เสิ่นซูหลันรู้สึกละอายใจ เธอจึงไม่กล้ามองหน้าเจียงเจิ้น
เจียงเจิ้นหัวเราะเหอะๆ แต่แววตาของเขาไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย
เขาพูดออกมาอย่างเงียบๆว่า “ผมรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ผมให้คุณนำของบำรุงสุขภาพไปให้สื้อสื้อ แต่คุณกลับใส่ยาทำแท้งไว้ในรังนกนั้น ทำให้สื้อสื้อต้องเข้าโรงพยาบาลจนเกือบจะแท้งลูก!”
เสิ่นซูหลันยิ้มอยู่ในใจ นังผู้หญิงสาระเลวนั่นเข้าโรงพยาบาลเหรอ?ดีจริง!
เพียงแต่ว่าทำไมถึงแค่เกือบจะแท้งล่ะ? แค่เกือบจะแท้งเองหรือ!!!
“คุณพูดสิ!” เจียงเจิ้นจ้องไปที่เธอตาเขม็ง
เสิ่นซูหลันมองไปที่นิ้วมือของเธอก่อนจะพูดเสียงแข็งว่า “ฉันไม่มีอะไรจะพูด ปัญหานี้เกี่ยวกับคนตระกูลจิ้น จะมาเอาอะไรกับฉันล่ะ?เจียงเจิ้น คุณอย่าให้คำพูดของคนอื่นมาหลอกลวงคุณ แล้วกลับมาระบายกับฉันอย่างนี้นะ!”
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเห็นประวัติคนไข้ อีกทั้งรายงานการตรวจร่างกาย เจียงเจิ้นก็อาจจะคิดว่าตนเข้าใจเสิ่นซูหลันผิดไป
“คนยังไม่ยอมรับใช่ไหม? รังนกนั่นคุณเป็นคนบอกให้ผมเอาไปให้สื้อสื้อ ในรังนกนั้นตรวจพบเจอสารทำให้แท้ง คุณยังจะว่ายังไงล่ะ?”
น้ำเสียงของเจียงเจิ้นนิ่งเรียบ แต่ความเงียบสงบนั้นก่อให้เกิดลมพายุ น่าเสียดายที่เสิ่นซูหลันมองไม่ออก
“ก็ในหัวของคุณคิดไว้แล้วว่าเป็นฉันจะให้ฉันทำยังไง เจียงเจิ้น คุณร่วมมือกับคนนอกมารังแกฉัน คุณมีจิตสำนึกอยู่บ้างไหม!”
เสิ่นซูหลันขึ้นเสียงสูงเธอ แต่ภายในใจเธอนั้นก็ช่างอ่อนไหว
เจียงเจิ้นเข้ามาคว้าข้อมือของเธอแล้วตะคอกด้วยเสียงดุดันว่า “คุณกล้าพูดหรือว่าไม่ใช่ฝีมือคุณ? เอาล่ะ ถ้าคุณกล้าใช้นวลนวลมาสาบาน ผมก็จะเชื่อ!”
เสิ่นซูหลันตกตะลึง ราวกับถูกไฟลวก
เธอกระโดดออกมาแล้วใช้แรงสะบัดมือของเจียงเจิ้นทิ้งไป จากนั้นเอ่ยด้วยคำพูดเยาะเย้ยว่า “คุณบ้าไปแล้วหรือไง ฉันไม่อยากจะสนใจคุณแล้ว!”
เมื่อพูดจบ เสิ่นซูหลันก็หันหลังเดินจากไป
เมื่อเจียงเจิ้นเห็นว่าเธอทำร้ายคนอื่นได้โดยไม่รู้สึกละอายใจเช่นนี้
เขาก็ยิ่งรู้สึกโมโห แล้วง้างมือขึ้นตบเธอเข้าไปฉาดใหญ่
เสียงดัง “เพี้ยะ!” ใบหน้าของเสิ่นซูหลันเป็นรอยนิ้วมือแดงห้านิ้ว
เจียงเจิ้นใช้แรงในการตบแรงเสียจนทำให้เสิ่นซูหลันได้ยินเสียงดังอื้ออึงอยู่ในหู
เธอเอามือขึ้นกุมหน้าแล้วมองเจียงเจิ้นอย่างเหลือเชื่อ
เขากล้าตบเธอ กล้าตบเธอได้อย่างไร?!
วินาทีต่อมา เธอก็โผเข้าใส่เอาหัวพุ่งชนเจียงเจิ้น ต่อสู้กับเขา
“เจียงเจิ้น คุณมันไม่มีจิตใจเอาเสียเลย ฉันแต่งงานกับคุณมาตั้งหลายปี คอยดูแลเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตประจำวันให้กับคุณ คอยสั่งสอนลูก ตอนนี้ลูกโตแล้ว คุณเองก็มีความสามารถมากขึ้น คุณกล้าตบฉัน! เจียงเจิ้นคุณมันสาระเลว!”
เมื่อเห็นท่าทางและวาจาปากร้ายของเธอเช่นนั้น เจียงเจิ้นก็รู้สึกรำคาญมาก
เขาสะบัดเสิ่นซูหลัน แล้วตะคอกออกไปเสียงดังว่า “เสิ่นซูหลัน ทำไมจิตใจคุณถึงโหดเหี้ยมขนาดนี้ แม้แต่เด็กที่ยังไม่ได้เกิดมาลืมตาดูโลกคุณก็ยังไม่ละเว้น!”
เสิ่นซูหลันล้มลงไปกองที่พื้น เธอยกมือขึ้นเช็ดหน้า
แล้วเงยมองดูเจียงเจิ้นก่อนจะตะโกนกลับไปว่า
“ให้ฉันปล่อยเธอไปเหรอ แล้วเธอจะปล่อยนวลนวลไปหรือเปล่า?”
เมื่อพูดจบสีหน้าของเจียงเจิ้นก็เปลี่ยนไปทันที
เป็นเธอเป็นเธอจริงๆด้วย!
เขาใช้สายตาที่เยือกเย็นมองไปยังเสิ่นซูหลันเหมือนคนแปลกหน้า
เจียงเจิ้นรู้สึกว่าหลายปีที่ผ่านมา เขามองผู้หญิงคนนี้ผิดไปจริงๆ
ผู้หญิงคนที่อยู่ตรงหน้านี้ราวกับสัตว์ประหลาด
ภายในใจของเขาผิดหวังและโมโหมาก
“นวลนวลเองก็ท้องอยู่ ตอนนี้เธอจะเป็นหรือจะอยู่อย่างไรก็ไม่รู้ ทุกอย่างนี้เป็นเพราะนางสาระเลวเจียงสื้อสื้อ!” ในเมื่อไม่อาจคุยกันได้ด้วยดีแล้ว เสิ่นซูหลันจึงตะโกนออกมาอย่างไม่ฟังใคร
แววตาของเธอเต็มไปด้วยความคับแค้นและริษยา
เจียงเจิ้นมองดูเธอด้วยท่าทางตกตะลึง จากนั้นพึมพำออกมา “คุณมันบ้าไปแล้ว”
“ใช่!ฉันบ้าไปแล้ว!!!”
เสิ่นซูหลันพยุงตัวเองขึ้นมาจากพื้นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “เจียงเจิ้น นวลนวลก็เป็นลูกสาวของคุณ ทำไมคุณไม่เคยคิดอะไรให้เธอเลย?”
รอยเหี่ยวย่นบนหน้าผากของเจียงเจิ้นปรากฏขึ้น เขาพยายามควบคุมมือที่อยากจะขยับ แล้วพูดด้วยความอดทนว่า “ที่นวลนวลเป็นอย่างทุกวันนี้ เธอดิ้นรนหามันมาเอง เกี่ยวอะไรกับสื้อสื้อกัน?”
เสิ่นซูหลันพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ถ้าไม่มีเธอ นวลนวลจะถูกทิ้งอย่างไม่ไยดีแบบนี้ไหม? นวลนวลเป็นลูกสาวของฉัน คุณไม่รู้สึกเห็นใจเธอแต่ฉันไม่! ฉันจะทำให้เจียงสื้อสื้อเหมือนตายทั้งเป็น!”
“คุณกล้าเหรอ?” เจียงเจิ้นตะโกนด้วยความโมโห
เมื่อมองเห็นนิสัยอันแท้จริงของเสิ่นซูหลันแล้ว เจียงเจิ้นก็เริ่มรู้สึกที่จะไตร่ตรอง
ก่อนหน้านี้เสิ่นซูหลันที่อ่อนโยน เป็นตัวตนของเธอจริงๆหรือ?