ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 504 หวังว่าคุณจะชอบผมนะ
บทที่ 504 หวังว่าคุณจะชอบผมนะ
เมื่อเห็นฟางเสวมั่นตกอยู่ในสภาพแบบนั้น เจียงสื้อสื้อก็รีบถามไปด้วยความร้อนใจว่า “แม่ะ แม่เป็นอะไร?”
ส่วนจิ้นเฟิงเฉินก็ได้วิ่งออกไปตามพยาบาลทันที
ไม่นานประตูห้องก็ถูกเปิดออก แล้วพยาบาลก็ได้เข้ามาตรวจดูอาการ
“คนไข้แค่เพลียมากเท่านั้นเอง เนื่องจากอารมณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันแต่ร่างกายปรับตัวตามไม่ทัน มันเป็นเรื่องปกติค่ะ ขอให้ญาติคนไข้ออกไปก่อนนะคะ”
“แต่ว่า……”
เจียงสื้อสื้อยังไม่อยากปล่อยมือของแม่
เธอเพิ่งมาถึงไม่นาน จึงยังไม่อยากจากไปเร็วขนาดนี้
จิ้นเฟิงเฉินรู้ดีว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เขาจึงบอกกับเธออย่างอ่อนโยนว่า “สื้อสื้อ เราปล่อยให้แม่ได้พักผ่อนก่อนเถอะครับ ไว้พรุ่งนี้เราค่อยมาใหม่คุณเองก็เพิ่งลงจากเครื่องเดี๋ยวร่างกายจะทรุดเอานะครับ”
ฟางเสว่มั่นกระดิกนิ้วเบาๆ และได้พูดเกลี้ยกล่อมไปว่า “สื้อสื้อ ลูกทำตามที่เฟิงเฉินพูดเถอะ ยังไงตอนนี้แม่ก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว ต่อไปถ้าลูกอยากมาเมื่อไหร่ก็มาได้ตลอด ตอนนี้ลูกควรกลับไปพักผ่อนก่อนนะ!”
“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ”
เจียงสื้อสื้อพยายามหักห้ามใจตัวเองให้ลุกขึ้น
แล้วเดินตามจิ้นเฟิงเฉินออกจากห้องไป
หลังออกจากโรงพยาบาล สภาพจิตใจของเจียงสื้อสื้อก็ดีขึ้น เธอร้องเพลงตลอดทางที่กลับบ้าน
พอขับรถเข้าประตูบ้านมา เสี่ยวเป่าก็เดินมาต้อนรับทั้งคู่ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
เจียงสื้อสื้อนั่งลงมากอดเสี่ยวเป่าแล้วหอมแก้มเขาไปทีหนึ่ง ความสุขที่ถูกแสดงออกมาทางสีหน้าไม่มีทางที่จะปกปิดมันได้เลย
“หม่ามี๊ ทำไมหม่ามี๊กับพ่อถึงกลับมาเร็วจังเลยครับ?”
หลายวันก่อนตอนที่คุณย่าบอกเขาว่าเจียงสื้อสื้อกับจิ้นเฟิงเฉินจะไม่กลับบ้านสักพัก เขาก็ซึมจนนอนไม่หลับไปหลายวันเลย
“คุณยายเขาฟื้นแล้ว พ่อกับแม่จึงต้องกลับมาก่อนจ้ะ” เจียงสื้อสื้อตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
ดวงตาสีดำของเสี่ยวเป่าเป็นประกาย แล้วเขาก็ถามขึ้นมาอย่างระมัดระวังว่า “จริงเหรอครับ? ดีจังเลย ผมขอไปเยี่ยมคุณยายด้วยได้ไหมครับ?”
เขายังไม่เคยเจอแม่ของหม่ามี๊เลย ไม่รู้ว่าคุณยายจะรักเขาเหมือนกับคุณย่าหรือเปล่านะ?
เสี่ยวเป่าในตอนนี้ทั้งดีใจทั้งตื่นเต้น เขาแทบอดใจที่จะได้เจอคุณยายที่ตัวเองไม่เคยรู้จักไม่ไหวแล้ว
หลังจากเล่นกับจมูกอันน้อยของเสี่ยวเป่าแล้ว เจียงสื้อสื้อก็ตอบเขาอย่างรักใคร่ว่า “ได้สิจ๊ะ แต่ตอนนี้มันดึกแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้เราค่อยไปพร้อมกันนะ!”
“เย้ๆ! ไปด้วยกัน เสี่ยวเป่าไปด้วย!”
เสี่ยวเป่าปรบมือด้วยความดีใจ
แม่จิ้นที่ได้ยินเสียงคุยกันก็ได้เดินมาดูจากในครัว พอเห็นหน้าลูกชายกับลูกสะใภ้เธอเองก็อึ้งไปเหมือนกัน “นี่จะไปไหนกันเหรอ? พวกแกควรอยู่ที่มิลานไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงกลับมาแล้วล่ะ?”
จิ้นเฟิงเฉินเดินมาดึงหนุ่มน้อยที่สิงอยู่ในตัวของเจียงสื้อสื้อออกมา จากนั้นก็หันไปตอบคำถามของผู้เป็นแม่ว่า “เกี่ยวกับเรื่องที่จะไปโรงพยาบาลในพรุ่งนี้นั้น คือแม่ของสื้อสื้อฟื้นแล้ว เราเลยต้องรีบกลับมาครับ”
เสี่ยวเป่าที่ต้องพลัดพรากจากไออุ่นของเจียงสื้อสื้อ ก็ได้หันมามองหน้าจิ้นเฟิงเฉินอย่างไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่กล้าพูดอะไร ทำได้แค่หน้ามุ่ยเท่านั้น
แม่จิ้นดีอกดีใจ ในขณะที่มือทั้งสองข้างยังเปียกอยู่ เธอก็พูดกับทั้งคู่ว่า “แม่สื้อสื้อฟื้นแล้วเหรอ ดีจริงๆ ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีเหลือเกิน เราควรไปเยี่ยมเธอกันทั้งบ้านเลยนะ ถ้ามีเวลาฉันจะต้องไปขอบคุณเธอด้วยตัวเองแล้วที่ให้กำเนิดลูกสาวที่น่ารักอย่างสื้อสื้อมา จนมาช่วยให้เฟิงเฉินไม่ต้องขึ้นคานแบบนี้”
พอได้ยินอย่างนั้น เจียงสื้อสื้อก็ต้องยิ้มออกมาอย่างอายๆ
“แม่ก็พูดเกินไป”
เธอหันไปมองจิ้นเฟิงเฉินที่ถูกแซวจนหน้าแดง
แม่จิ้นหันไปมองหน้าลูกชายที่แสนเย็นชาของเธอ จากนั้นก็พยักหน้าอย่างจริงจัง “ไม่ ไม่เลย ฉันไม่ได้พูดเวอร์เลยสักนิด!”
วันต่อมา ตอนแรกแม่จิ้นก็ตั้งใจจะไปด้วยอยู่หรอก
แต่ทางญาติห่างๆ ของเธอก็เกิดทะเลาะกันขึ้นมา เธอเลยต้องไปช่วยไกล่เกลี่ยก่อน
ในขณะที่เธอกำลังลำบากใจอยู่นั้น เจียงสื้อสื้อก็ได้พูดขึ้นว่า ต่อไปทั้งสองครอบครัวยังมีโอกาสได้เจอกันอีก ไม่เป็นไรหรอกค่ะ
สุดท้ายสองสามีภรรยาก็พาเสี่ยวเป่าเดินทางไปที่โรงพยาบาล
ด้านหลังของจิ้นเฟิงเฉินยังมีบอดี้การ์ดอีกกลุ่มหนึ่งเดินตามไปด้วย ในมือของพวกเขาเต็มไปด้วยของฝากกับช่อดอกไม้
การมาที่เวอร์วังของเขาทำให้คนทั้งโรงพยาบาลต้องหันมามอง
เจียงสื้อสื้อที่มาด้วยถึงกับทำตัวไม่ถูกกันเลย
จากห้องผู้ป่วยที่กว้างขวาง แต่การมาของครอบครัวนี้ทำให้มันดูแคบไปเลย
“แม่คะ หนูมีคนอยากแนะนำให้แม่รู้จัก นี่คือเสี่ยวเป่า เขาเป็นหลาน……”
เจียงสื้อสื้อซ่อนมือไว้ข้างหลัง โดยโอบเสี่ยวเป่าเอาไว้ และแนะนำเสี่ยวเป่าไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ
เธอรู้ดีว่าเสี่ยวเป่าเป็นเด็กที่ค่อนข้างอ่อนไหว เธอไม่อยากทำให้แม่ไม่สบายใจ ยิ่งไม่อยากให้แม่มองจิ้นเฟิงเฉินไม่ดี
เธอจึงเลือกจะไม่พูดเรื่องที่เสี่ยวเป่าไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของตัวเอง
“เสี่ยวเป่า ทักทายคุณยายหน่อยครับ” เจียงสื้อสื้อบอกกับเสี่ยวเป่าอย่างอ่อนโยน
ตั้งแต่ที่เสี่ยวเป่าเข้ามาในนี้ เห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่
เขากลัวว่าฟางเสว่มั่นจะไม่ชอบตัวเอง
พอเจียงสื้อสื้อพูดมาอย่างนั้น เขาจึงพูดออกไปอย่างไม่เป็นตัวเองว่า “คุณยายสวัสดีครับ”
จากนั้นก็หลบไปอยู่ด้านหลังของจิ้นเฟิงเฉินกับเจียงสื้อสื้อด้วยความเขินอาย
เหลือแค่ใบหน้าครึ่งเดียวที่ยื่นออกมาแอบมองคนที่นอนอยู่บนเตียง
ตอนแรกที่ฟางเสว่มั่นเห็นเสี่ยวเป่า เธอรู้สึกแปลกใจมากกับการมีหลานที่โตขนาดนี้แล้ว
แต่พอมาคิดๆ ดู ตัวเองก็ป่วยมาตั้งนาน การที่จะไม่รู้เรื่องพวกนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
หลังตั้งสติได้ เธอก็พูดเสียงหลงว่า “ว่าไงจ๊ะ นี่ยายเอง”
คำว่ายาย มันหวานซึ้งไปถึงหัวใจ
เธอจ้องมองไปยังหนุ่มน้อยที่หลบอยู่ข้างหลังของคนทั้งสอง ดวงตาคู่นั้น ยิ่งมองก็ยิ่งชวนให้หลงรักจริงๆ
เด็กคนนี้ช่างน่าเอ็นดูเหลือเกิน
ฟางเสว่มั่นกวักมือเรียกเสี่ยวเป่าพร้อมกับพูดว่า “เสี่ยวเป่า มาให้ยายดูหน่อยเร็ว”
เสี่ยวเป่าเงยหน้าขึ้นมามองพ่อแม่ด้วยความลังเล
“ไปสิ ก่อนหน้านี้ยังร้องอยากเจอคุณยายอยู่เลยไม่ใช่เหรอ?” จิ้นเฟิงเฉินส่งสายตาเพื่อให้กำลังใจเสี่ยวเป่า แล้วผลักหนุ่มน้อยไปข้างหน้า
เมื่อเสี่ยวเป่าได้รับแรงกระตุ้น เขาก็เดินไปยังเตียงผู้ป่วยด้วยความมั่นใจ
ดวงตากลมโตของเขามุ่งตรงไปยังฟางเสว่มั่นที่นอนอยู่บนเตียง
“คุณยาย สวัสดีครับ ผมชื่อจิ้นเป่ยเฉิน หวังว่าคุณยายจะชอบผมนะครับ” เขายื่นมือน้อยๆ ไปแตะมือที่ผอมแห้งของฟางเสว่มั่นอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“จ้ะ เสี่ยวเป่าน่ารักขนาดนี้ ยายก็ต้องชอบหนูมากอยู่แล้ว”
การถูกมือเล็กๆ นั้นสัมผัส มันก็ทำให้หัวใจของฟางเสว่มั่นก็ถูกเติมเต็มไปด้วยความอบอุ่นทันที เธอพยักหน้าอย่างรักใคร่ ดวงตาเป็นประกาย
พอเสี่ยวเป่าได้ยินอย่างนั้น เขาก็ยิ้มออกมาในทันที เขารีบเข้าไปกอดฟางเสว่มั่นพร้อมกับหอมแก้มไปทีหนึ่ง “เสี่ยวเป่าก็ชอบคุณยายเหมือนกันครับ”
เขารู้สึกว่าหญิงสูงวัยคนนี้ช่างน่าคบหาจากใจจริง
เหมือนกับหม่ามี๊ไม่มีผิด ทำให้คนที่เจออดไม่ได้ที่จะอยากเข้าหา
ฟางเสว่มั่นสัมผัสเสี่ยวเป่าด้วยความเอ็นดูพร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้ม จากนั่นเธอก็เริ่มถามเขาว่า “ไหนบอกยายหน่อยซิว่าปีนี้เสี่ยวเป่าอายุเท่าไหร่แล้ว เข้าอนุบาลแล้วรึยัง?”
ทั้งสองคนเริ่มพูดคุยกันราวกับคนอื่นไม่มีตัวตน ไม่ได้มีแค่ฟางเสว่มั่นคนเดียวที่ถามเท่านั้น บางที่เสี่ยวเป่าเองก็ยิงคำถามที่ทำให้คนฟังถึงกับไปไม่ถูกเหมือนกัน
เจียงสื้อสื้อกับจิ้นเฟิงเฉินหันมามองหน้ากัน แล้วก็ยิ้มออกมาอย่างเข้าใจกัน
พอเห็นยายหลานสองกำลังสนทนากันอย่างเมามัน ทั้งสองคนจึงปลีกตัวออกมาข้างนอกก่อน
หลังออกจากห้อง พวกเขาก็เดินไปหาหมอฉินหยางที่เป็นคนดูแลเคส เพื่อสอบถามสถานการณ์เบื้องต้น
ฉินหยางตอบว่า “อาการของคนไข้ไม่ได้มีอะไรน่าเป็นห่วง การที่ท่านสามารถฟื้นขึ้นมาได้เร็วขนาดนี้ ในวงการแพทย์ถือว่าหาได้ยากมากเลยครับ
ขอแค่ทำการฟื้นฟูดีๆ ไม่นานร่างกายก็น่าจะกลับมาเป็นปกติได้แล้วครับ ผมว่าน่าจะราวๆ ปีหนึ่ง”
พอได้ฟังคำตอบจากปากหมอมาแบบนี้ ในที่สุดหินที่อยู่ในอกของเจียงสื้อสื้อก็ถูกยกออกไปเสียที
พอฟังจบ เธอก็รีบกล่าวขอบคุณกับหมอด้วยความดีใจ